เป็นระยะเวลากว่า 11 ปี ที่ Oblivious ห่างหายไปจากวงการดนตรี แต่ในทุก ๆ ช่วงเวลา เพลงของพวกเขานั้นกลับถูกหยิบมาพูดถึง หยิบกลับมาฟัง และแฟนเพลงก็ต่างคิดถึงกันมาโดยตลอด จนถึงช่วงเวลาที่ลงตัวพวกเขาก็กลับมาทำให้วงการสะเทือนอีกครั้ง ไลน์อัพปัจจุบันของ Oblivious ประกอบไปด้วย 3 สมาชิกดั้งเดิม อาร์ต-รชต สุวะมินทร์ ร้องนำ อุ้ย-ณภพ ลียะวัฒนกุล กีตาร์ และ เมย์-ณัฐนนท์ ศรีศรานนท์ (หรือที่รู้จักกันในชื่อ สมเมย์ ลาบานูน) กลอง ร่วมด้วย 2 สมาชิกใหม่คือ โน้ต-ณรงค์ แสงเพชน กีตาร์ และโช-โชติก รัตนเลขา เบส เข้ามาทดแทนที่ร็อกและบอย ที่ติดภารกิจส่วนตัวจึงไม่สามารถกลับมาร่วมเล่นดนตรีกับเพื่อน ๆ ได้
พวกเขาได้ปล่อยผลงานใหม่ ชื่อว่า “Blacksmith” ซึ่งถือว่าเป็นการกลับมาอย่างสมศักดิ์ศรีของวงโดยแท้จริง ว่าแต่ช่วงเวลาที่หายไปแต่ละคนไปทำอะไรกันมาบ้าง เข้าไปร่วมงานกับ โอ๊ค Big Ass ได้อย่างไร และจะมีผลงานใหม่มาให้ฟังอีกหรือไม่ คำถามที่หลายคนอยากหาคำตอบมากมายมีอยู่ในบทสัมภาษณ์สุด exclusive ชิ้นแรกของการหวนคืนวงการเพลงชิ้นนี้แล้วครับ
- เรื่อง: ธนเจต วินัยกุลพงษ์
- ภาพ: พรพินิจ ปรีดานนท์

ความรู้สึกที่ได้กลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
อาร์ต: อย่างแรกเลยเราได้เจอเพื่อนครับ แล้วก็มันเหมือนกับว่าเราได้กลับมาสนุกกันอีกครั้ง อีกอย่างที่พิเศษคือได้มาทำเพลงร่วมกันอีก มันก็เหมือนกันว่าเราได้มีความสุขเหมือนวัยเมื่อ 10 ปีที่แล้วครับ คิดถึงแฟนเพลงด้วยครับ
อุ้ย: ใช่ครับ คิดถึงแฟนเพลงด้วยครับ
แรงกระตุ้นที่ทำให้อยากกลับมารวมตัวกันอีกครั้ง
เมย์: ผมว่าจริง ๆ แล้วมันคือความคิดถึงเลยอันดับแรกครับ จากที่ห่างหายไปนานเป็นสิบ ๆ ปี บวกกับเวลาเรากลับมาเล่นด้วยกันก็เลยนึกถึงบรรยากาศเก่า ๆ ที่เราเคยสนุกด้วยกัน ทำเพลงกัน เฮฮาด้วยกัน เราก็เลยมานั่งคุยกัน เฮ้ย เรามาทำเพลงกันดีกว่า คิดถึงว่ะ
อุ้ย: มันเป็นหน้าที่ของเราด้วย
อาร์ต: เพื่อน ๆ หลายคนในยุคเราก็อยากทำเหมือนเรานะ อยากจะกลับมา แต่เราได้กลับมาตามความฝัน
อุ้ย: ที่ผ่านมาผมได้เจอแฟนเพลงเยอะด้วย เจอแฟนเพลงตลอด 10 ปีที่ผ่านมา ได้รู้ว่าเป็นแรงบันดาลใจให้กับเขา เราเลยรู้สึกว่ายิ่งอยากกลับมา
โชและโน้ต เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Oblivious ได้อย่างไร
โช: ก่อนที่จะเป็น Oblivious ผมเคยเล่นกับร็อกกับเมย์ตั้งแต่เด็ก ๆ แล้วก็จังหวะที่บอยออกพอดีก็เลยได้เข้ามาร่วมวงครับ
เมย์: ตอนนั้นก็เลยแบบเอาคนที่คลุกคลีดีกว่า ก็เลยให้โชเข้ามาร่วมวงครับ
อุ้ย: หลังจากนั้นร็อกติดภารกิจอีก ก็เลยให้โน้ตมาอัดเพลงให้
โช: คือโน้ตกับร็อกเคยอยู่ด้วยกันอยู่มาก่อน
อุ้ย: คืออยู่ในก๊วนเดียวกันแหละครับ
อาร์ต: จริง ๆ ตอนร็อกออกไป ก็เป็นคนเลือกโน้ตด้วยตัวเอง คือจริง ๆ มันเป็นเพื่อนกันมาก่อน มันก็เลยง่าย ไม่ต้องจูนอะไรมาก
โน้ต: ก็จริง ๆ เพื่อน ๆ ก็ตอบแทนผมไปหมดแล้วครับ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆๆ
โน้ต และ โช รู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้เข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของ Oblivious
โน้ต: รู้สึกเป็นเกียรติอย่างยิ่งครับ เป็นวงที่มีชื่อเสียงมาก่อน การที่จะไว้ใจให้ใครมาทำหน้าที่แทนก็ต้องมีความเชื่อใจอย่างมาก ก็รู้สึกกดดันเหมือนกันครับ
โช: ก็คล้าย ๆ กับโน้ตครับ เป็นเกียรติที่ได้มาร่วมงานกับเพื่อน ๆ ครับ

ทางวงรู้สึกอย่างไรบ้างที่ได้โน้ตและโชเข้ามาร่วมงาน
อาร์ต: ก็อุ่นใจครับ แผงหลังเวลาผมร้องแล้วหันไปไม่รู้สึกแตกต่างกันมาก เมื่อก่อนทุกโชว์ของ Oblivious โชก็จะตามมาด้วยตลอด
อุ้ย: เรียกว่าราบรื่นไม่มีสะดุดครับ
ช่วงที่หายไป เมย์ ก็ตีกลองให้ลาบานูน อาร์ต ก็ทำวง Last Fight for Finish แล้วอุ้ย หายไปทำอะไรมาบ้าง
อุ้ย: ผมก็เลี้ยงลูกครับ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆๆ
อุ้ย: แล้วก็ทำงาน ผมนี่เป็นคนต้องการที่สุดเลยที่อยากกลับมารวมวง เพราะเห็นเพื่อนอีกสองคนยังเล่นกันอยู่ เราก็แบบแม่งอยากรวมวงที่สุดเลย ก็เลยสะใจที่ได้กลับมา
ได้มีโอกาสเล่นดนตรีบ้างไหม
อุ้ย: ไม่ได้แตะเลย ไม่ได้อยู่ในวงการเลย มีแต่เล่นสอนลูกสอนหลานอะไอย่างงี้ครับ
แล้ว Music Help TV จะกลับมาด้วยหรือไม่
อุ้ย: อัดเทปแรกไปแล้วครับ
ทั้งวง: เฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮฮ
อุ้ย: เพิ่งอัดเทปแรกไปเมื่อวานนี้เองครับ
เมย์และอาร์ต กับการแบ่งเวลาให้กับ Oblivious
เมย์: ถ้าอย่างตัวผมเอง ผมเชื่ออย่างหนึ่งว่าผมจะจัดสรรเวลาให้ดีที่สุด จะไม่ให้อย่างใดอย่างหนึ่งดูน้อยลงไปกว่าเดิม จะเต็มที่กับทั้ง Oblivious และลาบานูน แต่ถ้ามีเหตุการณ์ที่จะต้องชนกันจริง ๆ ก็คงต้องมานั่งคุยกันว่าจะแก้ไขปัญหาอย่างไรได้บ้างครับ
อาร์ต: จริง ๆ ผมก็เหมือนเมย์ครับ แต่จริง ๆ Last Fight for Finish ก็คงไม่ได้มีงานชนเท่ากับลาบานูนครับ ก็เหมือนกันอยากทำให้ทั่งคู่มันดีเท่า ๆ กัน ถ้าเป็นดนตรีผมทำได้ทุกอย่างเพื่อมัน ผมสู้กับมันมาตลอดแม้ในวันที่ไม่มีจะกินจนมันอยู่ตัวแล้ว มันเหลือแค่การแบ่งเวลาและทำควบคู่กันไปให้ดีที่สุดครับ

ระยะเวลาในการทำเพลง “Blacksmith”
อุ้ย: โห โห เอาจริง ๆ ก็ 12 ปี ที่หายไปเนี่ยคือไปทำเพลงนี้ ฮ่า ๆ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆ
อาร์ต: มันเริ่มมาตั้งแต่งาน Rock Alarm ครั้งแรก แล้วก็ทำมาตลอด ปัญหาของเราคือเวลาไม่ค่อยตรงกัน พวกเราจะทำงานผ่านโทรศัพท์มากกว่า
อุ้ย: คือไอ้ “Blacksmith” เนี่ย ร็อกเขาทิ้งไข่ไว้ก่อนจะไป เป็นผู้ริเริ่มแล้วเราก็มาทำกันต่อ คือทิ้งอินโทรไว้จนมาจบที่เนื้อร้อง
เมย์: ปกติเวลาที่ไม่ได้เจอกัน ต่างคนก็ไปเสพผลงานกันมา แล้วก็ศึกษาว่าการบ้านที่จะทำมีอะไรบ้าง พอมาเจอกันก็แบบ เออกูมีแบบนี้เว้ย มีลูกกลองแบบนี้ ก็เอามารวมกัน ใส่กันเลยหน้างาน จนออกมาเป็นแบบนี้
โน้ต: ก็ขอบคุณพี่โอ๊ค Big Ass มาก ๆ ครับ ที่เหมือนเป็นกาวให้กับวง
อาร์ต: เขาเป็นเหมือนเห็นว่าตรงไหนเกิน ตรงไหนขาด เป็นคนขัดเกลาให้
โช: บางทีเราแจม ๆ หน้างาน เราไม่รู้หรอกกว่าตรงไหนที่มันขาดเกิน เขาก็คอยเข้ามาบอกเรา
อุ้ย: เขากระตือรือร้นให้เราทำเพลง
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆ
อุ้ย: โห Oblivious นี่ดื้อจะตาย
อาร์ต: เป็นทั้งพี่ชาย เป็นทั้งโปรดิวเซอร์ เป็นทั้งอาจารย์ ต้องขอบคุณพี่โอ๊คครับ
เมย์: การกลับมาของพวกเราในครั้งนี้คือจะแตกต่างจากอัลบั้มก่อน ๆ เราจะกลับมา back-to-basic ไม่มีผ่านการ edit ใด ๆ เลย ยกตัวอย่างเช่นการอัดกลองเราจะอัดให้ดีที่สุด เป็นธรรมชาติที่สุด รวมถึงกีตาร์ด้วย มันก็เลยเป็นความพิเศษของผลงานใหม่ของเราครับ
ความหมายของเพลง “Blacksmith”
อาร์ต: จริง ๆ แล้ว “Blacksmith” ชื่อมันก็คือช่างตีเหล็กนะครับ แต่ความหมายจริง ๆ แล้วคือความเจ็บปวดที่เราเจอมาในสังคมทุกวัน หรือความผิดหวังที่ทำอะไรไม่สำเร็จ แต่เราเอาความเจ็บปวดนั้นมาเป็นแรงผลักดัน เป็นกำลังให้เราเดินต่อไป เหมือนกับว่าเราเป็นเหล็กโดนทั้งตี โดนทั้งความร้อน แต่ความจริงเหล็กมันไม่ได้หายไปไหน ยิ่งโดนตียิ่งโดนความร้อนมันจะกลายเป็นดาบ ที่ทำให้เราแหลมคม แข็งแกร่ง ฝ่าฝันอะไรไปได้ นี่คือนิยามของเพลงนี้ครับ
อุ้ย: คือผ่านอะไรมาเยอะว่างั้นเถอะ

จุดเริ่มต้นกับการร่วมงานกับโอ๊ค Big Ass
เมย์: ก็เริ่มจาก Rock Alarm นั่นแหละครับ คือตอนกลับมารวมกันได้มาซ้อมที่นี่ คือพี่โอ๊คก็ไม่เคยฟังหรือเคยดูวง Oblivious เลยได้ชวนแกไปดูที่งาน Rock Alarm ซึ่งแกก็เป็นคนช่วยออกแบบโปสเตอร์งานให้ด้วย
Headbangkok: ใช้งานคุ้มเลยนะครับ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆ
อุ้ย: แล้วหลังจากดูพวกเราเล่นแล้วเป็นไงบ้าง
เมย์: พี่โอ๊คบอกว่า แบบ พวกมึงไปอยู่ไหนกันมาวะ หลังจากนั้นก็เลยได้พูดคุยกับพี่โอ๊คว่ายังอยากทำเพลง อยากหางานเล่นอยู่ อยากหาคนมาช่วยดู ช่วยขัดเกลา แล้วด้วยประสบการณ์ดนตรีของพี่เขาด้วย ก็เลยถามพี่โอ๊คว่าสนใจมาช่วยดูมั้ย ซึ่งตัวพี่โอ๊คก็ยินดีและเต็มใจ แกไปฟังเพลงไปศึกษาผลงานของ Oblivious ไม่มีข้อปฏิเสธใด ๆ เลยแม้แต่นิดเดียว การทำงานของเราเลยต้องเต็มที่กับเขามากที่สุด สุดท้ายก็เลยได้มาอยู่ด้วยกัน มาเป็นโปรดิวเซอร์ให้กับเราครับ
นอกจากพี่โอ๊คแล้ว ยังมีท่านอื่นมาช่วยงานอีกหรือไม่
อาร์ต: ก็มีพี่เหนือวงศ์ Mango Team ครับ เข้ามาเขียนเพลง พี่เหนือเป็นเหมือนอาจารย์ผมเลยตั้งแต่อยู่ Music Bugs แล้ว คือการกลับของ Oblivious มาต้องมีพี่เหนือวงศ์ด้วยครับ คือเนื้อเพลงของ Oblivious จะแข็ง ๆ จะวางเนื้อหาตรง จริง ๆ แล้วผมเป็นคนชอบเขียนเพลง แต่เพลงนี้ผมว่าต้องเป็นพี่เหนือเลยครับ คือแกเข้าใจวง เลยไว้วางใจแกให้แกเป็นคนเขียนครับ
เมย์: เพราะแต่ละเพลงที่แกเขียน ก็เหมือนเป็นเพลงแจ้งเกิดหลาย ๆ เพลงของ Oblivious
อาร์ต: ก็ตอนแรกที่กลับมาพี่โอ๊คก็ถามว่าจะเขียนเพลงเองมั้ย จริง ๆ ก็อยากเขียนเองครับ แต่พอกลับไปนอนคิดเพราะถ้าเขียนเองมันทำให้กลิ่นของ Oblivious หายไป ก็เลยยกให้พี่เหนือเขียนครับ
เมย์: ก็จะมีอ๊อฟ Big Ass มาช่วยดูพาร์ตห้องอัด พี่โอ๊คกับพี่อ๊อฟคอยช่วยดูแลเรื่องการอัดกีตาร์ มาคอยดูควบคุมว่าเออซาวด์แบบนี้ชอบมั้ย ส่วนคนที่มิกซ์อัลบั้มนี้คือ Shane Edwards เคยมิกซ์ให้กับลาบานูนด้วย ให้ Big Ass ด้วย พี่โอ๊คเองก็สนิทกับ Shane เขาเลยให้มีอะไรใหม่ ๆ ใน Oblivious เลยถามกลับว่าลองให้ฝรั่งมามิกซ์มั้ย

ทางวงได้อะไรกับการร่วมงานกับโอ๊ค Big Ass บ้าง
อาร์ต: หนึ่งเลยคือความเป็นพี่น้อง ความสนิทสนม อันนี้คือสิ่งสำคัญเลย เพราะว่าจริง ๆ แล้วการที่เรามารวมกันแบบนี้มันก็เหมือนการจับปูใส่กระด้ง แต่พี่โอ๊คเขาเอาพวกเราอยู่ คือเขาเข้าใจเรา เขาไม่ได้บังคับเราด้วยครับ
อุ้ย: คือเขามีแต่การให้และอิสระ
โน้ต: ผมถือว่าเป็นกำไรชีวิตนะที่ได้มาร่วมงานกับพี่โอ๊ค ได้ไป Karma Studio ได้รู้จักเพื่อน ๆ ครับ
โช: ก็ดีใจที่ได้ทำงานร่วมกับพี่โอ๊คครับ เพราะเวลาแต่ละคนไม่ตรงกันด้วย
อาร์ต: รายละเอียดมันเยอะนะ เพราะแต่ละคนมีหน้าที่การงาน มีภาระกัน กว่าจะเจียดเวลากันมาได้
การอัดเพลงกับ อ๊อฟ Big Ass
อุ้ย: คือประทับใจ Kandee Studio มาก ๆ ครับ ยิ่งใหญ่ อลังการ สมชื่อ ซาวด์ดีมาก ๆ ครับ อุปกรณ์ดีหมดทุกอย่าง ไม่ดีอย่างเดียวก็กูนี่แหละ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆ
อาร์ต: มันจะมีแบบอัดเพลงกันเสร็จ มานั่งกินเนื้อย่างกัน
เมย์: มันไม่เหมือนห้องอัด คือพวกเรานี่อัดเสร็จต้องจุดไฟ เอาเนื้อมาย่างกินกัน คุยเรื่องดนตรีกัน เหมือนเป็นการแลกเปลี่ยนความคิดเห็นกัน แล้วพี่อ๊อฟแกไม่เคยทำให้เราต้องเกร็งกับการทำงาน แกปล่อยให้เป็นตัวเองมากที่สุดครับ
อุ้ย: ของผมนี่อัดช้ากว่าเขาเพื่อนครับ ผมห่างหายไปนานไม่ชิน เปลี่ยนกีตาร์ด้วย เปลี่ยนแอมป์ด้วย แต่สุดท้ายก็ทำได้ครับ แต่ช้าหน่อย
ซิงเกิลใหม่จะตามมาเมื่อไหร่
อุ้ย: ก็แน่นอนครับ คงอีก 12 ปีครับ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆ
อาร์ต: ด้วยความที่คิดถึงแฟนเพลงมาก ๆ เราจะมีอะไรใหม่ ๆ ตามมาครับ ติดตามกันดูครับ

คาดหวังกับการกลับมาขนาดไหน
เมย์: สำหรับผมเอง เวลาทำอะไรจะไม่คาดหวังครับ ถ้าเรายิ่งคาดหวังเยอะมันจะเจ็บ เราจะยิ่งทำงานแล้วจะไม่ออกมาด้วยใจ เวลาผมทำอะไรก็จะไม่คาดหวังว่าต้องดังเว้ย ต้องดูเราเยอะเว้ย ผมรู้สึกว่าสิ่งที่ Oblivious เป็นก็คือความเป็นตัวของตัวเอง คนอยากจะเสพก็เพราะความเป็นของตัวเอง คนชอบก็เพราะความเป็น Oblivious ครับ
อุ้ย: สำหรับผมนี่ ผมสมหวังแล้วนะ ทุกวันก็คือผมสมหวังแล้วที่มาถึงแค่นี้ มันโอเคแล้ว
อาร์ต: สำหรับผมแค่นี้ก็คือที่สุดแล้วครับ มันต่างจากการทำ Oblivious เมื่อ 10 ปีที่แล้ว เมื่อก่อนเราอาจจะหวังอยากให้เพลงขึ้นชาร์ต แต่วันนี้ผมแค่ได้เจอเพื่อน ได้มาเล่นดนตรี ได้เจอแฟนเพลง ได้มาเจอพี่ชาย โปรดิวเซอร์ อาจารย์ พี่ชายที่ดี แค่นี้ก็โอเคแล้วครับ
ตอนที่เพลง “รับไม่ได้” หรือ “รูปภาพ” โด่งดังขึ้นมา ตอนนั้นรู้สึกอย่างไรกันบ้าง
อาร์ต: โอ้โห แบบมันไปได้ไงวะ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆ
อุ้ย: ทุกวันนี้ก็ยังงงอยู่เลยครับ ฮ่า ๆ
อาร์ต: มันไม่ไปด้วยอะไรนะ มันไปด้วยแฟนเพลงมากกว่า ต้องขอบคุณแฟนเพลงทุกคนเลยครับ เพราะตอนทำเพลงมา เราก็ไม่รู้เลยว่าโปรดิวเซอร์จะชอบหรือเปล่า
อุ้ย: ในวันที่เรารู้ก็รู้สึกดี แบบแฟนเพลงชอบกันขนาดนี้เลยหรอ
อาร์ต: ตอนนั้นเราทำเพลงยังไงกันวะ ก็แบบแจม ๆ กันปะ
อุ้ย: ใช่ ๆ เราชอบแบบนั้น
เมย์: วงเราไม่ได้มีแบบทำการบ้านมา ไปฟังเพลงมาก่อนเลยนะ ไม่ใช่เลยนะ คือเรามาจากการแจมล้วน ๆ แบบนั่งกินเหล้ากัน นั่งกินปิ้งย่าง แล้วก็ขึ้นมาแจม อุ้ยเล่นกีตาร์ขึ้นมา ไอนี่เล่นนี่ขึ้นมา มันคือการแจม
อาร์ต: เราไม่มีการวางสัดส่วนมาก่อน เราไม่คิดกันเยอะ มาถึงก็ขึ้นมาแจมเลย
อุ้ย: ตกลง ”รูปภาพ” นี่มันเป็นเพลงดังหรอวะ
อาร์ต: โอย ดังดิวะ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆ
อาร์ต: แล้วก็แฟนเพลงช่วงนั้นนี่ เป็นผู้บริการกันหมดแล้วนะ เป็นเจ้าของผับ
อุ้ย: แก่กันหมดแล้ว
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆ
อาร์ต: ก็รู้สึกดีใจไปกับเขาด้วยนะ แล้วเขาบอกว่าเราไปเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตเขา
อุ้ย: เป็นหน้าหนึ่งในชีวิตเขา
อาร์ต: ตอนเจอเขาก็มาขอบคุณเรานะ แต่จริง ๆ เราต้องขอบคุณเขามากกว่า เพราะว่าถ้าไม่มีเขาก็ไม่เราในวันนี้
อุ้ย: เนี่ย ความรู้สึกนี้แหละ ที่ทำให้ผมอยากกลับมา

กับความรู้สึกที่เพลง “Negative” ได้ถูกนำไปใช้ประกอบภาพยนตร์เรื่อง อมหิต พิศวาส
อาร์ต: เซอร์ไพรส์มาก พี่ตั้ว ศรัณยู เปิดประตูเข้ามาถามพี่หนุ่ย โปรดิวเซอร์พวกเราว่า “เฮ้ย หนุ่ยมีวงอะไรดี ๆ หนัก ๆ บ้าง ขอเพลงนึง”
อุ้ย: พี่หนุ่ยก็บอกว่า เนี่ยไง Oblivious แล้วเขาก็เลือกเพลงนี้ไปเลย เพิ่งทำเสร็จกันพอดีด้วย เอาไปเลยแล้วกัน
เมย์: ผมก็ไปดูหนัง อยากฟังเพลงตัวเอง กว่าจะได้ฟังหนังจบพอดี
อุ้ย: หนังตลกมากเลย หนังแบบโอ้โฮ ฮากลิ้ง
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆ
อาร์ต: หนังฆาตกรรมโรคจิตเลยอะ ตอนนั้นเราเด็กกันด้วยเนอะ
เมย์: ตอนนั้นมันเหมือนเป็นประสบการณ์ใหม่ของพวกเราดีกว่า เข้าใจปะว่าเด็กอะ ยังเล่นดนตรีกันแบบ แล้วได้โปรเจคนึงให้ทำเพลงภาพยนตร์อะ แล้วพี่ตั้ว ศรัณยูอะ มันคือความตื่นเต้นนะ
อาร์ต: ความรู้สึกส่วนตัวผมเหมือนวงฝรั่งที่ทำได้ทำซาวด์แทร็กภาพยนตร์เรื่อง Scream อะไรแบบนี้
ค่ายเพลงหรือศิลปินอิสระ
เมย์: เราอยากทำในสิ่งที่เราอิสระดีกว่า ผมไม่อยากมีค่ายมากำหนดกฎเกณฑ์แหละ ผมรู้สึกว่าเป็นตัวของเราเองดีกว่า อย่างน้องก็ทำให้ผมรู้สึกว่าเราก็ทำได้เต็มที่ ดีกว่าที่เราออกความคิดเห็นแต่ค่ายเขาก็มีขีดจำกัดของเขา ผมก็เลยนั่งคุยกับเพื่อน ๆ ว่าปล่อยกันเองดีกว่า
อาร์ต: ส่วนตัวผมไม่ชอบธุรกิจครับ ส่วนตัวผมมองว่าดนตรีกับธุรกิจมันคนละอย่าง ดนตรีมันคือศิลปะ ธุรกิจมันคืออะไรที่ไม่น่าอยู่รวมกันได้
ผลตอบรับการกลับมาของ Oblivious ดีเกินคาด
อุ้ย: โห ก็เซอร์ไพรส์นะ ถือว่าแปลกใจ อบอุ่นขนาดนี้ เราก็ไม่คิดว่าจะได้เยอะขนาดนี้ เราก็คิดว่าเราเป็นวงเล็ก ๆ 5 คน เหมือนเด็กมาซ้อม เรายัง รู้สึกเหมือนเดิม แต่ถ้าตอบรับขนาดนี้เราก็ดีใจและขอบคุณมาก ๆ ครับ
เมย์: เหมือนเป็นกำลังใจดี ๆ ทำให้พวกเราสู้ มีกำลังใจในการทำงาน ต้องขอบคุณเพื่อน ๆ ทุกคนครับที่ให้การตอบรับพวกเรา
โน้ต: คือผมค่อนข้างจะใหม่มาก ทุกอย่างเกิดขึ้นเร็วมาก มันได้ผลตอบรับที่ดีขนาดนี้ผมก็ทำตัวไม่ถูกเหมือนกันครับ แต่ตอนนี้มีภาระต้องแกะเพลงเลยไม่ค่อยฟุ้งซ่านมากครับ ฮ่า ๆ
โช: ก็ดีใจกับทางวงด้วยครับ มันทำให้มีกำลังใจการทำงาน ร่วมสร้างกันมาขนาดนี้
อาร์ต: ก็ต้องขอบคุณทุกคนจริง ๆ ครับ ทั้งยอดไลค์ ยอดแชร์ ทุกคอนเมนต์ที่เข้ามาขนาดนี้

คิดถึงอะไรในวง Oblivious มากที่สุด
อุ้ย: ผมคิดถึงเวทีครับ พูดถึง Oblivious ก็ต้องเล่นสดอย่างเดียวครับ
อาร์ต: เราก็ได้เจอโปรดักชันที่ดีขึ้น คราวนี้จะดีขึ้นแน่นอน เมื่อ 10 ปีที่แล้วทุกอย่างมันใหม่ เรื่องซาวด์เรื่องอะไรมันก็นะ
อุ้ย: ผมรู้สึกที่มีความสุขบนเวที ผมชอบมองหลังอาร์ต รู้สึกดีที่ได้ยินเสียงกลองอยู่ข้างหลัง
อาร์ต: ผมก็ รู้สึกดีเวลาหันไปมันที่แผงหลัง ยิ้มให้กันงี้ เวลาเล่นหลุดก็ยังยิ้มให้กัน
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆๆๆ
เพลงของ Oblivious ที่ชอบมากที่สุด
เมย์: จริง ๆ ก็ชอบทุกเพลงนะครับ แต่ที่ผมชอบคือ “บันทึกหน้าต่อไป” ผมรู้สึกว่ามันเป็นเพลงที่พูดถึงพวกเรา แล้วก็ตรงกับชื่อเพลงเลยว่าบันทึกความทรงจำทุกอย่างเราเขียนไว้ด้วยตัวเอง ไม่มีใครมาเขียนขึ้นให้เรา จะดีจะร้ายแต่เราก็ต้องผ่านไป
อุ้ย: ผมชอบ 2 เพลงเลยคือ “บันทึกหน้าต่อไป” กับ “รับไม่ได้” เพราะมันเป็นเพลงแรกที่ทำให้เป็นพวกเรา
อาร์ต: ผมชอบ “รับไม่ได้” “บันทึกหน้าต่อไป” และ “บทลงโทษ” คือมันได้ตอบสนองความต้องการตัวเองมาก
โช: ผมก็ชอบหลายเพลงเหมือนกัน แต่ที่ชอบเอามาเล่นบทเวทีคือเพลง “บทลงโทษ” “ทิศตะวันออก” เล่นแล้วสะใจดี
โน้ต: ผมฟังแล้วชอบเลยคือ“Negative” ครับ ตั้งแต่กีตาร์ขึ้นมา
อาร์ต: เพลงนั้นกูคิดกีตาร์นะเว้ย
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆๆๆ
โน้ต: เป็นเพลงแรกที่แกะเลยครับ แล้วก็ชอบเพลง ”อันตราย” ครับ แต่จริง ๆ ก็ชอบมากกว่านั้นนะ
บทเพลง Oblivious กับการเปลี่ยนชีวิตแฟนเพลง
อาร์ต: มีครับ เยอะเลย ส่วนใหญ่จะเข้ามาขอบคุณ มันมีอยู่ช่วงหนึ่งเหมือนเขาเหงา เหมือนมีปัญหาชีวิต แต่กลับไปฟังเพลงเราทำให้เขาเปลี่ยนความคิดอะไรแบบนี้ ซึ่งทุกวันนี้เขาเป็นเจ้าของธุรกิจ เป็นเจ้าของผับ ตัวเราก็แบบเราทำได้ขนาดนั้นเลยหรอ พอได้รู้มันก็ขนลุก ผมก็กลับไปฟังเพลงที่พี่เหนือเขียนเราก็แบบว่าเออใช่ว่ะ เขาอาจจะไปฟังเพลงบันทึกหน้าต่อไป ซึ่งมันไปเปลี่ยนชีวิตเขาได้ เราก็ต้องขอบคุณเขาเหมือนกัน
อุ้ย: ผมเจอบ่อยเลย แต่ละคน ๆ การที่เราได้รู้ว่าเราได้เป็นส่วนหนึ่งของความทรงจำของเขา ในช่วงชีวิตเขา แล้วก็แบบเพลงพี่มันทำให้ผมผ่านช่วงเวลาเลวร้ายไปได้ มันยิ่งใหญ่มากสำหรับผม มันเหมือนตอนเราเด็ก ๆ ที่ทำอะไรไปอย่างนึงแล้วเพลงของเขาลอยเข้ามา
เมย์: ผมก็ดีใจนะ ถ้าเพลงเรามันส่งพลังให้กับคน ๆ นึงได้ ผมก็ดีใจแล้ว อย่างน้อยเพลงเราก็ส่งผลให้ชีวิต ๆ นึงเดินหน้าต่อไป
Oblivious กับความหมายต่อแฟนเพลง
อาร์ต: อืม ส่วนตัวผมนะ คืออย่างเพลง “Blacksmith” อยากให้ทุกคนฟังแล้วนำสิ่งที่ถ่ายทอดออกไปมาเป็นพลังบวกให้สู้ต่อไป ขอให้เพลงเราได้เป็นกำลังใจของคุณ
แพลตฟอร์มการเสพดนตรีที่เปลี่ยนไป
อาร์ต: ถามว่ามันดีไหม มันก็ดีครับ มีทั้งส่วนดีและไม่ดี ตอนนี้เราก็ต้องศึกษา ต้องใช้ชีวิตไปกับมัน เราก็ต้องปรับตัวเพื่ออยู่กับมันให้ได้ ส่วนกระแสด้านเพลงผมมองว่าบนโลกมันตันไปหมด ต้องรอดูว่าอะไรจะขึ้นมาใหม่ จะหยิบอะไรผสมตรงไหน ซึ่งเราก็ต้องดูนะ
อุ้ย: เราก็หวังอะไรมากไม่ได้ คือตอนนี้เราส่งไม้ไปแล้ว ที่เหลือก็ขึ้นอยู่กับแฟนเพลงแล้ว
โน้ต: แพลตฟอร์มจะเปลี่ยนอย่างไรไม่รู้ แต่ถ้าเป็น Oblivious แล้วเนี่ยที่เน้นเล่นสด แพลตฟอร์มมันทำไม่ได้ ทุกคนก็ต้องมาดูตอนเล่นสดครับ

ช่วงนี้เสพผลงานของใครกันบ้าง
เมย์: สำหรับผมแล้วถ้าผมอินกับวงไหน ถึงจะเป็นวงเก่ามันก็จะอยู่ในยุคนี้ของผมได้ ผมชอบ Pantera กับ Metallica ต่อให้ยุคนี้จะมีอะไรใหม่ ๆ มาผมก็ฟังนะ แต่จะไม่อินเท่ากับสองวงนี้
อาร์ต: ส่วนผมนี่ฟังเยอะเลยครับ เพราะต้องทำ Last Fight for Finish ด้วย ในการฟังเพลงต้องหวังผลเลยว่าจะเอากลับไปใช้งานอะไรได้บ้าง มันจะแบ่งเป็นพาร์ตเลย สำหรับ Oblivious ช่วงนี้ผมจะชอบฟัง In Hearts Wake มาก โคตรชอบเลย มันผสมผสานดนตรีกันได้ดี ส่วนพาร์ตของ Last Fight for Finish ก็จะเน้นฟังเจาะลึกพวกแร็ปร็อก ตอนนี้ก็จะฟังวง Suicidal Tendencies แล้วก็ฟัง Snot อะไรงี้ที่ชอบ ๆ เพื่อนำกลับมาใช้งานครับ
อุ้ย: ของพี่ไม่ค่อยฟังเท่าไหร่หรอก ถึงฟังก็จำไม่ค่อยได้ ฮ่า ๆ แต่จริง ๆ จะชอบดนตรีฮาร์ดร็อก แฮร์แบนด์ พังก์ แล้วก็ฮาร์ดคอร์ด้วย ชอบ Terror, Madball อะไรพวกนี้ด้วย
อาร์ต: จริง ๆ มันก็อยู่ที่อารมณ์มากกว่า บางทีก็ฮาร์ดร็อกบ้าง อยู่ที่ชีวิตประจำวัน แบบทำงานเจอปัญหาอะไรมาก็อยากฟังเดธสับ ๆ ว่ะ ฮ่า ๆ
โช: ส่วนผมจะชอบฟังพวกเมทัล อัลเทอร์เนทีฟ ยุคเก่า ๆ ’80s และ ’90s พวก Nirvana และ Metallica
อาร์ต: ฟัง “บักแตงโม”
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆ
โน้ต: ผมก็ไม่ค่อยได้ฟังใหม่ ๆ เหมือนกันครับ เพื่อนผมเคยเอางานวิจัยมาให้ดูว่าคนอายุเกิน 30 ปี จะไม่ค่อยฟังเพลงใหม่ ๆ กลับไปไล่ฟังเก่า ๆ แทน ผมปกติก็จะฟังได้ทุกแนวนะ ตั้งแต่เมทัลยันหมอลำ แต่ตอนนี้ก็ฟัง Oblivious นี่แหละครับ
ทั้งวง: ฮ่า ๆๆ
อาร์ต: ผมแนะนำเพลงชิลนะ แบบเวลาเหนื่อยจากการทำงานมาแล้วฟังก่อนนอน คือชีวิตปกติเราก็ร็อกอยู่แล้ว แต่จริง ๆ แล้วมันอยู่ที่อารมณ์มากกว่า
เวลาว่างของแต่ละคน
อาร์ต: ตอนนี้ผมทำรถบ้านครับ กำลังจะเสร็จแล้วครับ ทำมอเตอร์ไซด์ด้วยครับ
อุ้ย: ตอนนี้ก็ทำกีตาร์ ทำเกษตรด้วยครับ ปลูกผัก
โช: ผมก็ขี่มอเตอร์ไซค์ครับ
อุ้ย: ผมเลี้ยงลูกด้วยครับ
เมย์: ผมแทบไม่ว่างเลยครับ พอว่างก็ต้องหานู่นนี่ทำ เหมือน alert ตลอดเวลา
โน้ต: นอกจากเล่นดนตรีแล้วว่าง ๆ ก็เตะฟุตบอลครับ
อาร์ต: ทั้งนี้ทั้งนั้นผมขอขอบคุณเมย์ครับ เป็นคนริเริ่ม ตามแต่ละคนให้กลับมา ยอมเสียสละเวลาส่วนตัวครับ
โช: แล้วก็อีกคนนึงที่เสียสละก็คือพี่โอ๊คครับ

จะมีคอนเสิร์ตตามมาเมื่อไหร่
เมย์: มีแน่นอนครับ เพิ่งออกเพลงใหม่ต้องมีแล้วครับ งานแรกก็คือ Rock Alarm 2 Forget Me Not อย่าลืมฉัน ในเดือนพฤษภาคม หลังจากนั้นก็จะมีงานให้เพื่อน ๆ ได้ตามกัน ก็อัพเดตได้ที่เพจ Oblivious และทาง Headbangkok หนังสือดี ๆ นักดนตรีไม่รู้จักแม่งโคตรเชย
ทั้งวง: เฮฮฮฮฮฮฮฮ
มีอะไรอยากจะฝากถึงแฟนเพลงและแฟน Headbangkok กันบ้าง
อาร์ต: ก่อนอื่นขอบคุณเลยครับที่ให้การตอบรับการกลับมา มันคือพลัง มันคือกำลังใจที่ทำให้เราต้องก้าวเดินต่อไป เพื่อให้จะได้เจอกับทุกคนที่คอนเสิร์ตครับ ไปมันส์กับทุกคน ได้เจอแน่นอนครับ ขอบคุณคุณโอ ร้าน Yeah ด้วยครับที่ให้การสนับสนุน
เมย์: ขอบคุณทาง Headbangkok มาก ๆ เลยครับ ที่ให้เกียรติมาสัมภาษณ์พวกเรา
อุ้ย: เป็นสื่อเจ้าแรกเลยครับ
เมย์: ขอบคุณที่ให้โอกาสพวกเรา ขอบคุณที่ให้เราได้มาพูดคุย ได้พูดถึงความรู้สึกที่ห่างหายไป ได้พูดถึงความรู้สึกที่คิดถึงแฟนเพลง และก็ด้วยตัวตนของพวกเราเอง ขอบคุณทุกคนจริง ๆ ขอบคุณ Headbangkok และพี่โอ๊คมาก ๆ ครับ
โน้ต: ขอบคุณทุกคน ขอบคุณแฟนเพลง ขอบคุณ Headbangkok ขอบคุณพี่โอ๊ค ขอบคุณทุกคนเลยครับ ขอบคุณวง Oblivious ด้วยที่ให้ผมมาร่วมมันส์กัน
โช: ขอบคุณแฟนเพลงของ Oblivious ที่ติดตามกันมานาน ขอบคุณแฟนเพลง ขอบคุณเพื่อน ๆ ที่ไว้ใจให้ผมมาทำหน้าที่นี้ครับ ขอบคุณพี่เหนือ พี่อ๊อฟ พี่โอ๊ค ขอบคุณเบื้องหลังทุกคนมาก ๆ ครับ ขอบคุณ Headbangkok ด้วยครับ
นี่เป็นเพียงแค่จุดเริ่มต้นของการกลับมาของ Oblivious เท่านั้น เพราะบันทึกหน้าต่อไปต่อจากนี้จะเข้มข้นและน่าติดตามกว่าเดิมแน่นอนครับ จบจากบทสัมภาษณ์นี้แล้ว เตรียมตัวพบกับบทสัมภาษณ์สมาชิกคนที่ 6 ของ Oblivious ผู้อยู่เบื้องหลังการกลับมาอย่างยิ่งใหญ่ของวงกับผู้ชายคนนี้ “โอ๊ค Big Ass” เร็ว ๆ นี้ที่ Headbangkok แห่งนี้ที่เดิมครับ!
ติดตามข่าวสารของวง Oblivious เพิ่มเติมได้โดยตรงที่เพจ Oblivious Band

- Owner, Co-Founder and Writer of Headbangkok
- Vocal Tragedy of Murder