“เกี๊ยวซักถุงมั้ย เบบี๋ อะ ฮ๊า อะ ฮ๊า” เดี๋ยว ๆ ไม่ใช่ร้องแบบนี้สิ “Give it to me baby uh huh uh huh” ท่อนนี้คงไม่มีใครที่ร้องตามไม่ได้ ใช่แล้วมันคือเพลง “Pretty Fly (For A White Guy)” ของวง The Offspring ผลงานจากอัลบั้ม Americana โดยถูกปล่อยออกมาโปรโมตเป็นซิงเกิ้ลแรกเมื่อวันที่ 9 พฤศจิกายน 1988

ทันทีที่เพลงถูกปล่อยออกมามันก็ได้สร้างความช็อกให้กับเหล่าบรรดาแฟนเพลงของทางวงแบบชนิดที่ต้องมาตั้งคำถามว่า นี่มันใช่วงที่กูเคยฟังหรือเปล่าวะ? เพราะเชื่อว่าซาวด์ที่ทุกคนคุ้นเคยกับ The Offspring มันต้องเป็นสเก็ต/พังก์ร็อก อันดุดัน เต็มไปด้วยพลังงานขับเคลื่อนที่ร้อนแรง แต่พอมาเป็น “Pretty Fly (For A White Guy)” มันกลายเป็นดนตรีป๊อปร็อกจังหวะคล้ายสามช่าบ้านเราซะอย่างงั้น ความหนักแน่นถูกตัดขาดหายไปหมด ทดแทนด้วยความติดหู พร้อมเสิร์ฟด้วยคำร้องที่จำง่าย ร้องตามกันได้ตั้งแต่ฟังรอบแรก

สำหรับแรงบันดาลใจการสร้างเพลงนี้ เริ่มต้นจากในช่วงอินโทรที่ร้องเป็นภาษาเยอรมันว่า “Gunter glieben glauten globen” ทางวงได้ไปดึงมาจากเพลง “Rock Of Ages” ของวง Def Leppard ส่วนในพาร์ตของเนื้อเพลงเต็มไปด้วยเนื้อหาเกรียนแสบกวนบาทา ซึ่งทาง Noodles มือกีตาร์ของวงได้เผยว่าเรื่องภายในเพลงได้พูดถึงเด็กน้อยคนหนึ่งที่อยากทำตัวเป็นแก๊งสเตอร์ตามกระแสนิยมของฮิปฮอปในยุค 90’s แต่สุดท้ายก็ทำไม่สำเร็จ ทำให้เขากลายเป็นตัวตลกคนหนึ่งในสายตาคนเหล่านั้น

ความหมายของเพลงไม่ได้มีอะไรซับซ้อน แถมยังมีการทำ MV ออกมาตอกย้ำความชัดเจนของภาพแบบในเนื้อหาของเพลงแบบเป๊ะ ๆ ซึ่งกำกับโดย Joseph McGinty Nichol ผู้ที่ภายหลังได้ทำงานให้กับภาพยนตร์เรื่อง Charlie’s Angels, Terminator Salvation และ The Babysitter เป็นต้น

แม้ว่าแฟนเก่าจะไม่ถูกอกถูกใจ แต่ก็ต้องยอมรับว่าเพลง “Pretty Fly (For A White Guy)” คือผลงานที่พลิกเกมของ The Offspring ให้กลายมาเป็นวงเมนสตรีมอย่างเต็มตัว สร้างแฟนเพลงใหม่ ๆ ขึ้นมาแบบมหาศาล ทำยอดขายซิงเกิ้ลได้หลายล้านก็อปปี้ เพลงติดชาร์ตอันดับ 1 ในหลายประเทศ และกลายเป็นกระแสเพลงฮิตโด่งดังไปทั่วโลกไม่เว้นแต่ในไทยที่ถูกนำไปเปิดรวมกับเพลงแดนซ์ตามผับบาร์ต่าง ๆ ตอกย้ำความแมสได้เป็นอย่างดี และสุดท้ายมันได้ส่งผลไปถึงอัลบั้ม “Americana” ที่ทำยอดขายได้มากถึง 10 ล้านก็อปปี้

หลายคนอาจจะมองว่าพวกเขาได้สูญเสียตัวตนไปแล้ว แต่แท้จริงแล้วนี่คือกลยุทธ์อย่างหนึ่งที่ทำให้ The Offspring สร้างรากฐานในเส้นทางอาชีพศิลปินได้แข็งแรงและยืนหยัดมาได้อย่างยาวนาน จริง ๆ แล้วมันคือสูตรเดียวกับตอนที่ Metallica ปล่อยเพลง “Enter Sandman” นั่นเอง