บทความนี้เป็นตอนสุดท้ายแล้วนะครับ (ตอนที่ 1, 2, 3) กับการทำความรู้จักวง Suicide Silence ที่กำลังจะมาเปิดการแสดงที่กรุงเทพเป็นรอบที่สอง พร้อมกับวง Upon a Burning Body ในตอนนี้จะพาคุณไประลึกถึงวงในช่วงออกอัลบั้ม The Black Crown เมื่อกลางปี 2011 รวมไปถึงเหตุการณ์ช็อกแฟนเพลงแบบคาดไม่ถึง

หลังจากที่ประสบความสำเร็จอย่างต่อเนื่องทั้งจากอัลบั้ม The Cleansing และ No Time to Bleed ทางวงก็กลับเข้าสู่สตูิดิโออีกครั้งที่ Big Bear, California เพื่อบันทึกเสียงอัลบั้มใหม่ โดยทางวงได้เลือก Steve Evetts ผู้มากประสบการณ์มานั่งแท่นเป็นโปรดิวเซอร์ ซึ่งเจ้าตัวเคยผ่านการโปรดิวเซอร์ตั้งแต่วงแนวอีโมยันเดธเมทัล เช่น Sepultura, Still Remains, The Dillinger Escape Plan, Incantation, Story of The Year หรือแม้กระทั่ง Symphony X ส่วนการมิกซ์ซาวด์ได้ Zeuss (Shadows Fall, Hatebreed, Born of Osiris) มาจัดการให้และยังได้ Ken Adams (Lamb of God, Coheed And Cambria) มาทำอาร์ตเวิร์คอัลบั้มให้อีกด้วย

suicide-silence-the-black-crown

 

เมื่อทางวงเสร็จสิ้นการบันทึกเสียงก็ไม่รอช้าส่งอัลบั้มใหม่นามว่า “The Black Crown” ออกมาสู่สายตาชาวโลก ในวันที่ 12 กรกฎาคม 2011 ภายใต้ค่าย Century Media เช่นเคย พร้อมทั้งเปิดตัวด้วยยอดขาย 14,440 ก๊อปปี้ในสัปดาห์แรกของอเมริกา ทะยานขึ้นไปแตะชาร์ตบิลบอร์ด 200 ในลำดับที่ 28 พร้อมทั้งทำลายสถิติตัวเองอีกครั้ง (อัลบั้ม No Time to Bleed ได้ลำดับที่ 32) ส่งซิงเกิลแรกและเอ็มวีออกมาในเพลง “You Only Live Once” ได้รับเสียงตอบรับจากแฟนเพลงอย่างดีเยี่ยม สำหรับอัลบั้ม The Black Crown มีความแตกต่างจาก 2 อัลบั้มแรกอย่างชัดเจน โดยเฉพาะเนื้อเพลง จากเดิม Mitch Lucker เคยเขียนเกี่ยวกับแนวคิดต่อต้านศาสนาก็หันมาเขียนแนวคิดเกี่ยวกับการดำรงชีวิตอยู่ ซึ่งสื่อออกมาได้ชัดเจนจากเพลง You Only Live Once ตัวเพลงอธิบายเกี่ยวกับชีวิตที่มีเพียงชีวิตเดียวใ้ช้แม่งให้คุ้ม ผ่านทำคำว่า “ You only live once so just go fucking nuts!!!!”

ในส่วนของภาคดนตรีมีการปรับการเล่นแบบกรูฟเข้ามาใช้มากขึ้น รวมถึงมีการโชว์สัดส่วนของดนตรีที่มีเทคนิคซับซ้อนขึ้นกว่าเดิม เสียงกีตาร์ย่านต่ำได้กลิ่นนูเมทัลเข้ามาเจือปน ซึ่งน่าจะได้รับอิทธิพลจาก Steve Evetts โปรดิวเซอร์มาไม่น้อย แต่การเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้นเป็นไปในทิศทางที่ดีและไม่จำเจและยังคงวางอยู่บนเอกลักษณ์ของ Suicide Silence นอกจากนี้แล้วความพิเศษในอัลบั้ม The Black Crown ยังได้ศิลปินรับเชิญ เช่น Jonathan Davis (Korn), Frank Mullen (Suffocation) และ Alexia Rodriguez (Eyes Set To Kill) มาร่วมสร้างสีสันให้กับอัลบั้มนี้อีกด้วย

หลังจากอัลบั้มประสบความสำเร็จไปแล้ว ทางวงก็เริ่มออกทัวร์โดยเริ่มต้นจากการเข้าร่วมเทศกาล Mayhem Festival ร่วมกับวง All Shall Perish, Trivium และ Machine Head หลังจากนั้นทางวงก็ออกทัวร์ไปทั่วโลก รวมไปถึงได้มาเยือนที่ประเทศไทยด้วย ที่หอประชุม AUA เมื่อกันยายนปี 2011 ท่ามกลางแฟนเพลงนับพันคน ท่ามกลางความสำเร็จที่ถาโถมเข้ามาให้กับทางวงดูเหมือนอะไรก็สวยงามโรยด้วยกลีบกุหลาบไปซะทั้งหมด รวมถึงการวางแผนทำอัลบั้มของวงที่ย้ายบ้านไปอยู่ Nuclear Blast Record ซึ่งน่าจะทำให้วงก้าวไปสู่คำว่าตำนานได้อย่างรวดเร็ว แต่แล้วเหตุการณ์ที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น…

rip-mitch-lucker

 

ในวันที่ 1 พฤศจิกายน 2012 ก็มีข่าวร้ายช็อกวงการและแฟนเพลงทั่วโลกเมื่อ Mitch Lucker ฟรอนต์แมนของวงและไอดอลของวัยรุ่นทั่วโลกได้ประสบอุบัติเหตุทางมอเตอร์ไซด์และเสียชีวิตลงแบบกระทันหัน คงไม่มีใครคาดคิดว่าเค้าจะจากไปด้วยเวลาที่รวดเร็วขนาดนี้ ด้วยวัยเพียง 28 ปีเท่านั้น ทำให้ทางวงและแฟนเพลงตกอยู่ในความโศกเศร้ากับการจากไป การจากไปในครั้งนี้ถูกไว้อาลัยโดยการจัดคอนเสิร์ตในชื่อ “Ending is the Beginning: Mitch Lucker Memorial Show” ที่ Fox Theater รัฐแคลิฟอร์เนียร์ ซึ่งได้รับเกียรติจากศิลปินรับเชิญมากมายมาร่วมร้องเพลงของวง Suicide Silence ไม่ว่าจะเป็น Max Cavalera (Soulfly, Ex-Sepultura), Randy Blythe (Lamb of God), Rob Flynn (Machine Head), Phil Bozeman (Whitechapel), Danny Worsnop (Asking Alexandria), Austin Carlile (Of Mice & Men), Tim Lambesis (As I Lay Dying) และ Chad Grey (Mudvayne) เป็นต้น โดยรายได้ถูกมอบให้กับมูลนิธิเพื่อการศึกษา Kenadee Lucker ซึ่งเป็นลูกสาวของ Mitch Lucker นั่นเอง

เข้าสู่ปี 2013 ข่าวคราวของทางวงเงียบหายไปและไม่อาจคาดเดาทิศทางของวงได้เลย จนกระทั่งเข้าสู่เดือนตุลาคม วงได้ปล่อยตัวอย่างเพลง You Only Live Once ผ่านเสียงของนักร้องนำปริศนาและเกิดการคาดเดาจากแฟนเพลงมากมายว่าใครมารับหน้าที่ในตำแหน่งนี้ต่อจาก Mitch Lucker จนได้ทางวงได้เปิดตัวนักร้องคนใหม่มีชื่อว่า Hernan “Eddie” Hermida กระบอกเสียงทรงพลังจากวง All Shall Perish นั่นเอง การเข้ามารับตำแหน่งของ Eddie นั้นแน่นอนครับว่าแบกความกดดันและความคาดหวังจากแฟนเพลงอย่างมากมายแน่นอน ด้วยสิ่งที่ Mitch Lucker สร้างไว้ทั้งเสียงร้องที่มีเอกลักษณ์ ภาพลักษณ์ที่มีลักษณะความเป็นไอดอลสูงมาก เรียกได้ว่าเป็นจุดขายของวงเลยก็ว่าได้ แต่ผมเชื่อนะครับถ้าวัดกันในแง่เสียงร้องแล้วไว้ใจ Eddie ได้เลย ใครเคยฟังผลงานของวง All Shall Perish คงจะทราบดีถึงพลังจากเค้า เสียงร้องไล่ตั้งแต่กดต่ำแบบบรูทัลจนถึงแผดสูงแบบแบล็คเมทัลพี่แกทำได้ยอดเยี่ยมทั้งหมดครับ ผมคิดว่า Suicide Silence เลือกทายาทได้ถูกคนแล้ว แต่คงต้องมาลุ้นกันอีกทีว่าผลงานในอัลบั้มใหม่ภายใต้เสียงร้องของ Eddie จะได้รับผลตอบรับจากแฟนเพลงมากน้อยแค่ไหน แต่ผมหวังว่าแฟนเพลงจะต้อนรับการกลับมาของ Suicide Silence อย่างอบอุ่นเหมือนเคย เพราะผมคิดว่าไอดอลผู้จากไปอย่าง Mitch Lucker ก็คงหวังไว้เช่นกัน เค้าคงจะมีความสุขมากถ้าได้เห็น Suicide Silence กลับมามีชีวิตชีวาบนเส้นทางดนตรีอีกครั้งนึงครับ

suicide-silence

 

แฟนเพลงชาวไทยนับว่าโชคดีมากที่จะได้เห็นการแสดงสดอันดุเดือดของวง Suicide Silence ครั้งที่ 2 พร้อมพ่วงด้วยเสียงร้องของ Eddie ให้ได้พิสูจน์ก่อนใคร ในวันที่ 8 มีนาคม 2014 ที่ Live House Bangkok ตลาดนัดจตุจักรกรีน แถมยังเพิ่มความมันคูณสองกับวง Upon a Burning Body เดธคอร์สไตล์แม็กซิกัน แก็งสเตอร์ ร่วมด้วยวงเมทัลอันเดอร์กราวน์ของเมืองไทย Dreams of Mad Children, End My Torment, Hello Massacre และ Shutbloody

งานนี้ใครไม่ไประวังพลาดภาพประวัติศาสตร์ของสุดยอดสองวงเดธคอร์ในเวทีเดียวกันนะครับ รับรองานนี้นรกแตกแน่นอน แล้วเจอกันครับ!