ในตอนที่แล้วผมได้เล่าถึงจุดเริ่มต้นของทางวงให้รู้จักกันไปบ้างแล้ว มาถึงในตอนนี้ผมจะมาเล่าเกี่ยวกับการเดินทางของวง Suicide Silence กับดนตรีแนว deathcore บนถนนสายดนตรีให้ได้รู้จักกันบ้าง

หลังจากที่ทางวงปล่อย E.P. ในปี ค.ศ. 2005 ออกมาได้ไม่นาน บทเพลงของพวกเค้าที่ที่โพสต์ไว้ในมายสเปซก็เริ่มมีคนสนใจและเข้าไปฟังอย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้วงมีการพูดถึงในหมู่วัยรุ่นผู้บ้าคลั่งเพลงหนักกระโหลก มีการแชร์เพลงส่งให้กันฟัง ทำให้ชื่อเสียงของพวกเค้าเริ่มฉายแววท่ามกลางกระแสดนตรีเดธคอร์ในตอนนั้น รัศมีของพวกเค้ารุนแรงจนสาดแสงไปโดนแมวมองของค่าย Century Media ค่ายเมทัลระดับยักษ์ใหญ่ ทางค่ายก็ไม่รอช้าจับเซ็นสัญญาพร้อมมอบโอกาสให้วงได้ทำอัลบั้มแรกอย่างมืออาชีพ นับว่าเป็นก้าวกระโดดสำคัญของทางวงเลยทีเดียว แต่การได้เซ็นสัญญาทำอัลบั้มกับค่ายใหญ่แบบนี้ก็ยังไม่สามารถจะการันตีความสำเร็จของวงได้ 100% นับว่าเสี่ยงไม่น้อยกับผลตอบรับอัลบั้มแรกกับวงหน้าใหม่เช่นนี้ หลังจากนั้นทางวงก็เข้าสู่การทำอัลบั้มแรกในสตูดิโอ โดยได้ John Travis มากุมบังเหียนโปรดิวเซอร์ให้ เขาเคยฝากผลงานไว้กับวงอย่าง Static-X, Social Distortion, Kid Rock หรือแม้กระทั่ง No Doubt เรียกได้ว่าหลากหลายแนวมาก เพราะฉะนั้นแล้วงานในแบบฉบับของ Suicide Silence ก็น่าจะเป็นโจทย์ที่่ท้าทายเช่นกันสำหรับ Travis เพราะเป็นอีกแนวที่แตกต่างกับงานที่ผ่าน ๆ มาของเค้าโดยสิ้นเชิง

mitch-lucker

และแล้วในวันที่ 18 กันยายน คศ.2007 ทางวงก็คลอดอัลบั้มแรกในชื่อ “The Cleansing”  พร้อมกับซิงเกิ้ลและเอ็มวีตัวแรกในเพลง “The Price of Beauty” และสิ่งที่ไม่คาดฝันก็เกิดขึ้น เพียงสัปดาห์แรกที่วางขายซีดีจำหน่ายได้ถึง 7,250 แผ่นและยังขึ้นไปติดท็อปชาร์ต 200 ของบิลบอร์ดชาร์ตในลำดับที่ 94 อีกด้วย เรียกได้ว่าเป็นปรากฎการณ์อย่างแท้จริงที่เพลงหนักกระโหลกเช่นนี้จะทะยานขึ้นไปอยู่ในระดับสูงแบบนี้ได้ แถมยังเป็นวงน้องใหม่อีกต่างหาก นอกจากนั้นแล้วอัลบั้ม The Cleansing ยังเป็นอัลบั้มเปิดตัวที่ขายดีที่สุดในประวัติศาสตร์ของค่าย Century Media อีกด้วย สร้างปรากฎการณ์สองเด้งติด ๆ กันไปเลย โดยสมาชิกในอัลบั้มนั้นได้แก่ Mitch Lucker ร้องนำ, Chris Garza และ Mark Heylmun กีต้าร์, Mike Bodkins เบส และ Alex Lopez กลอง

Suicide_Silence_-_The_Cleansing

จุดที่ทำให้วงประสบความสำเร็จกับอัลบั้มเปิดตัวได้ขนาดนี้มันมีปัจจัยรวมกันหลาย ๆ อย่างครับ ปัจจัยแรกเริ่มต้นจากเพลงของพวกเค้าเอง ดนตรีของพวกเค้ามีเป็นเดธคอร์ที่อัดกันตรงไปตรงมาไม่ได้ซับซ้อนอะไรมากทำให้เข้าถึงได้ง่าย ส่วนผสมของบทเพลงมีทั้งเดธเมทัล,ไกรนด์คอร์และฮาร์ดคอร์ผสมผสานตามแบบฉบับของคำว่าเดธคอร์ที่กำลังเป็นกระแสในขณะนั้น ปัจจัยที่สองคืออาร์ตเวิร์กปกอัลบั้มที่สะดุดตาและฟร้อนท์ตัวหนังสือก็เข้ากับตลาดเดธคอร์ในตอนนั้นแบบสุด ๆ โดยอาร์ตเวิร์กได้ Dave Mckean ศิลปินผู้เคยฝากฝีมือไว้ให้กับวงอย่าง Machine Head, Fear Factory และ Dream Theater ปัจจัยที่สามภาพลักษณ์ของ Mitch Lucker ที่เพียบพร้อมด้วยหน้าตา, เสียงร้อง, และรอยสักงาม ๆ เต็มร่างกาย ถูกใจวัยรุ่นแบบสุด ๆ ทำให้เขากลายเป็นไอดอลอย่างรวดเร็ว เมื่อทุกปัจจัยรวมกันจึงกลายเป็นผลลัพธ์ให้วงประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็ว

KBPIs+Birthday+Bash+Rockstar+Energy+Mayhem+Festiva+MayhemFest

และด้วยชื่อเสียงของวงที่กำลังโด่งดัง ทำให้ในปี ค.ศ. 2008 ทางวงได้ถูกเชิญเข้าร่วมทัวร์ในโปรเจ็กต์ชื่อว่า Mayhem Festival ร่วมกับวง Slipknot, Disturbed, DragonForce, Machine Head และ Underoath โดยใช้เวลาทัวร์ถึง 2 เดือนด้วยกัน จากทัวร์ในครั้งที่ทำให้ทางวงถูกกล่าวขานและยิ่งเป็นที่รู้จักมากขึ้นจากการแสดงสดที่ดุเดือดเลือดพล่าน หลังจากนั้นทางวงยังได้มีโอกาสไปทัวร์ฝั่งยุโรปและออสเตรเลียร่วมกับวงอย่าง Parkway Drive, A Day To Remember, The  Acasia Strain และ Bury Your Dead อีกด้วย

เรียกได้ว่ากลายเป็นวงที่ประสบความสำเร็จอย่างงดงามกับอัลบั้มแรก แต่การประสบความสำเร็จอย่างรวดเร็วขนาดนี้แน่นอนครับความกดดันและความคาดหวังจากแฟนเพลงย่อมแบกอยู่บนบ่าแน่นอน และพวกเค้าทำรับมือกับความกดดันได้ดีมากน้อยเพียงไหน ติดตามต่อในตอนหน้า The Journey of “Suicide Silence” (Part 2) นะครับ