สก๊อต เอียน มือกีตาร์วงแทรชเมทัลระดับตำนานจากนิวยอร์ก Anthrax นั้นเป็นนักเล่าเรื่องที่มีฝีมือคนหนึ่ง ในช่วงที่ว่างเว้นจากการทัวร์กับวงดนตรีหลักของตัวเอง เขาก็ออกเดินสายจัดทอล์คโชว์ของตัวเองชื่อ “Speaking Words” ไปด้วยเพื่อเล่าเรื่องราวของตัวเอง และล่าสุดเขาก็รวบรวมประสบการณ์ในชีวิตตัวเองออกมาถ่ายทอดเป็นพ็อกเก็ตบุ๊ก (ที่ร่วมเขียนโดยจอน ไวเดอร์ฮอร์น) ภายใต้ชื่อเรื่องว่า “I’m the Man: The Story of That Guy from Anthrax” ซึ่งมีกำหนดวางจำหน่ายในวันที่ 14 ตุลาคมนี้
วงดนตรีแทรชเมทัลยุคบุกเบิกจากย่านควีนส์ในรัฐนิวยอร์กวงนี้ส่งอิทธิพลต่อวงการเพลงแทรชเมทัลใต้ยุคแรกเริ่มเป็นอย่างมาก ร่วมกับทั้งวง Metallica, Megadeth และวง Slayer ที่ทุกวันนี้โลกเรียกพวกเขาทั้งสี่วงว่าเป็น “The Big Four” วันนี้ทางเว็บไซต์ Radio.com ได้โพสต์ส่วนหนึ่งจากเนื้อหาของหนังสือเล่มนี้ออกมาให้ได้อ่านกัน เป็นช่วงที่เอียนนั้นเล่าเรื่องเกี่ยวกับตอนที่เดฟ มัสเทนถูกไล่ออกจากวง Metallica ก่อนที่วงจะออกอัลบั้มแรก รวมไปถึงเรื่องการดึงตัวเคิร์ก แฮมเม็ตต์ มือกีตาร์วง Exodus เข้ามาอยู่กับ Metallica แทนด้วย
ถ้าพร้อมแล้วก็เริ่มเข้าเรื่องกันได้เลยครับ:
มันเป็นคืนปีใหม่ในปี 1980 พวกเรามีปาร์ตี้ใหญ่กันที่บ้านของริชชี่ เฮอร์แมน เขาอาศัยอยู่ชั้นแรกในตึกของพวกเรา และพ่อของเขาก็มักจะออกไปนอกเมืองเสมอ ๆ พวกเราก็เลยมีคนราวห้าสิบถึงหกสิบคนอยู่ที่บ้านวันนั้นเพื่อฉลองวันเกิดให้ผม ผมบ้าไปเลย ผมเคยดื่มมาก่อนแล้ว แต่ตอนนี้อายุผมเกือบจะถึงเกณฑ์ดื่มได้แล้วนะ ผมอายุสิบเจ็ดปีแล้ว วันนั้นผมดื่มสกรูวไดรฟ์เวอร์* ที่ทำด้วยว้อดก้าชั้นดียี่ห้อ Popov แล้วก็ตามมาด้วย Grey Goose แล้วก็ของ Tito รสชาติมันยังกับสารฟอกขาวใช้แล้วของพวกรัสเซียเลย ผมน่าจะดื่มไปสิบสองแก้วได้ ผมมีความทรงจำที่ไม่ค่อยชัดเจนนักเกี่ยวกับการนัวเนียกับสาวคนนี้ เราหยุดจูบกันเพราะผมเริ่มรู้สึกไม่อึดอัด ผมรู้สึกว่าอ้วกมันย้อนกลับมาตามหลอดอาหาร ผมผละออกมาแล้วก็อ้วกไปเต็มร่างกายของเธอ จากนั้นก็ปล่อยอ้วกออกมาทั่วห้องน้ำของริชชี่เลย
ผมลากสังขารพาตัวเองขึ้นบันไดกลับมาที่อพาร์ตเมนต์ของแม่ผมชั้นบน พังเข้าไป แล้วก็ตื่นมาในวันถัดมาแบบยังเมาอยู่ ผมป่วยไปสองถึงสามวันเลยแหละ แค่กลิ่นของเหล้าลอยมาก็ทำให้ผมคลื่นไส้ได้เป็นปีเลยหลังจากนั้น พอมองย้อนกลับไป นั่นมันเป็นประโยชน์มากเพราะมันทำให้ผมไม่ได้ดื่มจัดนักในช่วงปีของการก่อตั้งวง Anthrax และนั่นช่วยให้ผมโฟกัสกับงานได้ ผมมักจะไปที่บาร์แล้วสั่งเบียร์ซักแก้วสองแก้ว แต่ผมไม่ได้เป็นส่วนหนึ่งของพวกทีมขี้เหล้าพวกนั้นนะ ดูที่ Metallica ทุกวันนี้สิ พวกเขาเปลี่ยนไปโดยสิ้นเชิง ดนตรีของพวกเขานั้นเคยแข็งแกร่งพอที่จะยื้อไว้แม้ในเวลาที่พวกเขาเมาเลอะเทอะ และแม้แต่ในช่วงเวลาที่เดฟ มัสเทนยังอยู่ในวง พวกเขาคือสี่จตุอาชา** พวกเขามีความแข็งแกร่งทั้งหมด มีบุคลิกที่แตกต่างไปจากตอนนี้ เจมส์ เฮทฟิลด์นั้นเป็นไม้ประดับบนกำแพง*** เขานั้นเงียบเหมือนกับชาร์ลี [เบแนนเต, มือกลองของ Anthrax] ที่มาพร้อมกับเซนส์ในความตลกที่เจ๋ง แต่ไม่มีความเป็นร็อกสตาร์เลย เขาดูแปลกแยกไปจากผู้คนรอบ ๆ แต่พอเขาสะพายกีตาร์แล้วคำรามไปที่ไมโครโฟนตอนที่เขาอยู่บ้าน นั่นคือตัวตนของเขาเลย แม้ว่าเขาจะไม่เคยพูดอะไรเลยบนเวทีก็ตาม คนที่พูดทั้งหมดคือเดฟ
มัสเทนเป็นฟรอนต์แมนตัวจริงของวง เขารับหน้าที่พูดคุยทั้งหมดบนเวที และเขามีอุปนิสัยแบบร็อกสตาร์ และเขาก็เป็นคนที่ควบคุมไม่ได้ ผมหมายถึงตอนเขาเมาน่ะ แต่เขามีเซนส์ความตลกที่ยอดเยี่ยมเลย ลาร์สก็อาจจะเป็นคนตลกด้วยเหมือนกัน และเขาก็เป็นพวกชอบพล่ามไม่หยุดด้วย เขาแทบจะเล่นอะไรไม่เป็นเลยตอนที่เราเริ่มต้นกัน เขาเรียนรู้ด้วยการแจมไปกับเพลงของเจมส์และก็ค่อย ๆ ดีขึ้นเรื่อย ๆ มันยากที่จะจินตนาการภาพลาร์สในวงอื่น เขาคือมือกลองที่ใช่ของ Metallica และเขาเป็นกระบอกเสียงของวงนี้ตั้งแต่วันแรกด้วย
ถ้าจะให้ผมชี้หนึ่งในพวกเขาออกมาว่าเป็นคนที่ไม่เข้าพวกที่สุด มันก็คงจะเป็นคลิฟฟ์ คือ Anthrax และ Metallica น่ะมีลุคที่ชัดเจน: ยีนส์ฟิต, รองเท้าไนกี้หุ้มข้อ หรือไม่ก็รองเท้าคอนเวิร์ส, เสื้อยืดวงเมทัล, เสื้อแจ็กเก็ตหนัง หรือยีนส์ผสมหนัง และคลิปก็มาพร้อมกับกางเกงขากระดิ่ง รองเท้าบูทคาวบอย เสื้อยืดวง R.E.M และก็เสื้อแจ็กเก็ตยีนที่ติดเข็มกลัดของ Lynyrd Skynyrd และ Misfits เขาดูเป็นคนที่แปลกจริง ๆ แต่ก็แปลกในทางของตัวเขาเอง เขาเป็นคนที่เมทัลที่สุดในกลุ่มพวกเราเพราะว่าเขา flew his own flag และเขามีความสามารถทางดนตรีมากที่สุด น่าจะเรียกว่ายอดเยี่ยมที่สุดที่ผมเคยพบเจอมาเลยก็ได้-และยอดเยี่ยมยิ่งกว่า [มือเบสยุคออริจินัลของ Anthrax, แดน] ลิลเกอร์เสียอีก เขาเป็นมือเบสอัจฉริยะ และเขาเข้าใจทั้งดนตรีและทฤษฎีด้วย ถ้าเปรียบเทียบกับเขาแล้วเราก็เป็นแค่มนุษย์ถ้ำ เขาเป็นคนรักสันโดษแต่ก็ไม่ใช่พวกเล่นตัว เขาเจ๋งมาก ได้ใจเลยแหละ เขาดูคล้ายกับตัวละครจากยุค ’50s แบบเดอะฟอนซ์จากเรื่อง Happy Days ถ้าเดอะฟอนซ์นั้นเล่นอยู่ในวง Molly Hatchet นะ คลิฟฟ์ก็คงจะยืนสูบบุหรี่อยู่ตรงนั้น เหล่ตามองคุณ ยิ้นแบบคลินต์ อีสต์วูดแล้วก็พูดว่า “ว่าไง?”
เราชอบในภาพยนตร์, หนังสือ, และรายการทีวีแบบเดียวกัน และเราชอบวงดนตรีวงเดียวกันด้วย เพราะงั้นเราก็เลยเป็นเพื่อนกันได้อย่างรวดเร็ว ผมเป็นแฟนเพลงของ Skynyrd แบบที่โตมาด้วยกัน แต่ผมไม่เคยได้ R.E.M. ผมถามเขาว่าพวกเขาเป็นใคร และเขาบอกผมว่าพวกนี้คือวงดนตรีโคตรเจ๋งจากจอร์เจีย แล้วเขาก็เอาเทปที่หน้าหนึ่งเป็นชุด Murmur และอีกหน้าเป็นชุด Reckoning ผมเอามันกลับมาฟังที่บ้าน และเขาพูดถูก งานดนตรีของ R.E.M. ในยุคแรกนั้นยอดเยี่ยมมาก ดูเหมือนจะไม่มีความขัดแย้งกันระหว่างพวกเขาเลย พวกเขาเป็นเพื่อนดื่มและก็ทำอะไรห่าม ๆ ด้วยกัน แต่เดฟนั้นเป็นอะไรที่โง่เง่ากว่านั้น และเวลาที่เขาเมา เขาก็กลายเป็นไอ้ตัวปัญหาแบบสุด ๆ เลย ในตอนกลางคืนเขาจะเอาถังขยะไปเทที่หน้าประตูห้องซ้อมดนตรีของวงอื่น และพวกเขาก็รู้ว่าใครเป็นคนทำเพราะมีแค่ Metallica วงเดียวที่นอนอยู่ข้างบนนั้น พอพวกเขามาซ้อมในวันถัดมาก็จะพบกองขยะเป็นภูเขาเลากา และพวกเขารู้ว่าวงไหนเป็นคนทำเพราะมีแต่ Metallica ที่นอนที่นั่น แล้วทีนี้นักดนตรีพวกนี้ทั้งหมดก็จะไปเคาะห้องพวกเขาเพื่อจะซัดให้ร่วงไปเลย
ผมอยู่กับพวกเขาในวันที่ 9 เมษายนปี 1983 ด้วยตอนที่พวกเขาไปเล่นที่ L’Amour ร่วมกับวง Vandenberg และ The Rods ตอนนั้นวง Vandenberg กำลังซาวด์เช็คกันอยู่บนเวที แล้วมัสเทนก็เมามาเลย เขายืนอยู่กลางพื้นสถานที่จัดงาน พอพวกเขาซ้อมเพลงกันจบเท่านั้นเขาก็เริ่มตะโกนด่าว่าพวกเขาแม่งโคตรห่วยและควรจะลงจากเวทีไปได้แล้ว จอห์นนี่ ซี [ผู้จัดการวงของ Anthrax/Metallica] ถึงกับต้องไปดึงเขาออกมา แต่ผมไม่คิดว่าเรื่องห่านี่จะเพียงพ่อต่อการไล่เขาออกจากวงหรอกนะ ชายคนนี้เป็นเจ้าพ่อแห่งดนตรีแทรชเมทัล เขาสร้างสรรค์ริฟฟ์กีตาร์ในอัลบั้ม Kill ‘Em All ไว้มากมายและรวมถึงบางส่วนในอัลบั้ม Right the Lightning ด้วย ถ้าไม่มีเดฟ มัสเทน บางทีดนตรีแทรชเมทัลอาจจะไม่เกิดขึ้นก็ได้ อย่างน้อยก็ในตอนเริ่มต้นเขาก็เป็นกำลังสำคัญในการขับเคลื่อนวงดนตรีวงนี้
สองสามวันหลังจากนั้นผมตื่นขึ้นมาแล้วก็จับรถไปที่ Music Building ผมเห็นคลิฟฟ์ยืนสูบบุหรี่อยู่ข้างนอก
“ว่าไง”
“ไม่มีอะไร เป็นไงบ้าง?” ผมตอบ คิดในใจว่ามันก็เป็นแค่อีกวันนึง
“ไม่มีอะไรมาก เราไล่เดฟออกแล้ว เขาอยู่บน Greyhound [ชื่อบริษัทรถทัวร์ของอเมริกา] กำลังเดินทางกลับซานฟรานซิสโก”
ผมหัวเราะเพราะคลิฟฟ์มักจะเล่นมุกเสียดสีแบบนี้เสมอ “ใช่ นั่นมันโคตรฮาเลย” ผมบอก “คืองี้นะ ฉันต้องไปปรับแอมป์ของตัวเองแล้ว ฉันยังไม่แฮปปี้กับโทนเสียงของมัน เจอกันข้างบน”
“ฉันจริงจังมาก” เขากล่าว “ขึ้นไปห้องชั้นบนแล้วคุยกับเจมส์และลาร์สซะตอนนี้เลย”
ผมขึ้นไปชั้นบน มองไปรอบ ๆ และไม่เห็นเดฟอยู่ที่นั่นเลย “เกิดอะไรขึ้น?”
“คลิฟฟ์ไม่ได้บอกนายเหรอ?” เจมส์ถาม
“ใช่ แต่เขาโกหกใช่มั้ย?”
“ไม่ เราไล่เดฟออกเมื่อเช้านี้”
ผมยังคงคิดว่ามันเป็นไปไม่ได้และพวกเขาพยายามจะอำผม “นี่พวกมึงพูดจริงเรอะ?”
“เราพูดจริง ๆ จริงจังมาก” ลาร์สบอก
ผมอุทาน “ห่าเอ๊ย พวกนายมีโชว์ที่จะต้องเล่นและกำลังจะทำอัลบั้มกันในเดือนหน้าแล้ว นี่จอห์นนี่ ซี รู้หรือยัง?”
“รู้ เราบอกพวกเขาไปตั้งหลายวันก่อนแล้ว” ลาร์สเล่าต่อ “เราต้องให้เขาสัญญาว่าจะไม่พูดอะไร เราไม่อยากให้เดฟรู้ตัว เราไม่รู้ว่าเขาจะทำอะไรถ้ารู้”
พวกเขาจัดการวางแผนครั้งนี้ไว้ราวกับการจู่โจมสายฟ้าแลบทางอากาศ มันกลายเป็นว่าโชว์ที่ L’Amour กับวง The Rods นั้นเป็นฟางเส้นสุดท้ายของเดฟ พวกเขาซื้อตัวรถบัสแบบไปอย่างเดียวกลับสู่แอลเอแล้วรอคอยจนถึงคืนที่เดฟเมาสุด ๆ ซึ่งพวกเขาก็รู้ว่าคงอีกไม่นานหรอก สถานีรถของเกรย์ฮาวด์นั้นอยู่เกือบจะติดกับประตูของ Music Building พวกเขาปลุกเขาขึ้นมาตอนที่เขายังคงมึนงงและไล่เขาออก เขายังใส่เสื้อผ้าครบชุดอยู่ เพราะงั้นพวกเขาก็เลยไม่ต้องช่วยแต่งตัวให้ พวกเขาแค่รวบรวมของของเขาซึ่งก็แพ็คไว้ในกระเป๋าเกือบหมดแล้วให้ แล้วก็ยัดเขาเข้าไปในรถบัสก่อนที่เขาจะเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้น หลังจากนั้นพวกเขาก็วางแผนจะส่งอุปกรณ์ดนตรีของเขาตามไปทีหลัง ผมได้แต่ยืนอ้าปากค้างอยู่ตรงนั้น, พูดอะไรไม่ออก, แล้วคลิฟฟ์ก็เดินเข้ามา “เห็นมั้ย ฉันบอกนายแล้ว” เขาพูด
“เยี่ยม แล้วนายจะทำยังไงกับโชว์และอัลบั้มต่อไป?”
“คืองี้ เรามีคนที่จะมาจากวงดนตรีจากซานฟรานซิสโก ชื่อวง Exodus” ลาร์สพูด “เขากำลังบินมาที่นี่เพื่อร่วมวงกับเรา เขารู้จักเพลงของพวกเราเกือบหมดแล้ว และเขาก็กำลังแกะท่อนลีดอยู่”
เมื่อเคิร์ก แฮมเม็ตต์ มาถึง เขานั้นเป็นคนที่น่าเชื่อถือมาก ๆ และทัศนคติของทุก ๆ คนใน Metallica และ Anthrax ในจุดนั้นก็คือ “ช่างแม่ง เอากูไปนอนบาม้านั่งในสวนแล้วเอาหนังสือพิมพ์คลุมทับไว้ข้างบนก็ได้ กูไม่แคร์ พวกกูจะทำอัลบั้ม!”
ผมอายุสิบเก้า ทุก ๆ คนรอบตัวก็อายุใกล้เคียงกัน เราไม่ได้สนอะไรมากไปกว่าการทำดนตรี ไม่ว่าจะยังไงก็ตาม แต่การเปลี่ยนไปใช้ชีวิตแบบนั้นมันยากสำหรับเคิร์กมากกว่าใครทั้งสิ้น เขาเป็นคนที่อ่อนไหวที่สุดในกลุ่มพวกเขาทั้งสี่คน บางครั้งความกดดันในการใช้ชีวิตมันก็แสดงออกมา ย้อนกลับไปในซานฟรานซิสโก เขานั้นอยู่ในวงดนตรีที่กำลังเริ่มต้นขึ้น และเขามีที่อยู่ของตัวเอง เขาไม่ได้อาศัยอยู่กับโซฟาสกปรก ๆ ในห้องซ้อม แต่เขาก็ไม่ได้บ่นหรือโกรธอะไร เขานั้นเป็นคนที่น่ารักที่สุดคนหนึ่งที่ผมเคยพบมาเลย และเขาไม่เคยเปลี่ยนไปเลย แม้ว่าตอนนี้เขาจะมีชื่อเสียงและเงินมากมายก็ตาม เขายังคงเป็นเด็กน้อยน่ารักคนเดียวกับที่ผมเคยเจอหลังจากที่เขาปรากฎตัวในวันที่จากซานฟรานมา
ที่มา – Radio.com, ภาพประกอบ – Clay Patrick McBride
* Screwdriver เป็นชื่อเมนูเครื่องดื่มค็อกเทลชนิดหนึ่ง
** The Four Horsemen เป็นชื่อเพลงในอัลบั้มแรกของ Metallica
*** Wallflower เป็นคำที่ใช้เรียกพวกตัวประกอบ เหมือนเป็นแค่ดอกไม้บนกำแพง

ผู้ร่วมก่อตั้ง และอดีต บก. Headbangkok.com