จากประสบการณ์ชีวิตที่ผ่านมา ความเชื่อหนึ่งที่ติดอยู่ในหัวตลอดก็คือ การที่วงดนตรีซักวงจะมีเรื่องราวให้นำมาเล่าเป็นสารคดีได้ วงเหล่านั้นจะต้องมีเรื่องราวเลวร้าย ดราม่าเข้มข้น หรือคอนเทนต์อะไรบางอย่างที่มันน่าเกลียดและไม่ค่อยเกิดขึ้นในชีวิตประจำวันของคนทั่วไปให้ดู เพราะมิเช่นนั้นแล้ว ชีวิตคนพวกนั้นก็ไม่ได้ต่างอะไรจากมนุษย์เงินเดือนเดือนชนเดือนแบบเราซักเท่าไหร่

แต่ความเชื่อที่ว่าสารคดีร็อกแอนด์โรลจะต้องน่าเกลียดเสมอไปก็ถูกรื้อออกหมดหลังจากได้ดู Coldplay: A Head Full of Dreams สารคดีเนื่องในวาระครบรอบ 20 ปีของวงบริทร็อกแห่งเกาะอังกฤษที่กำกับโดย Mat Whitecross (เจ้าของเดียวกับ Oasis: Supersonic) เพื่อนสมัยมหาลัยที่ตามถ่ายฟุตเตจเก็บไว้ตั้งแต่ตอนยังเป็นวงดนตรีหน้าใหม่ไร้อัลบั้ม ไม่มีแม้ชื่อวง

หากเคยฟังอัลบั้ม A Head Full of Dreams คงสัมผัสได้ถึงพลังในแง่บวกแบบเดียวกันที่วงส่งออกมาในสารคดีเรื่องนี้ แม้ทางวงจะวางใจให้เพื่อนซี้ทำแทนทั้งหมด แต่ vibe ที่ถูกถ่ายทอดออกมาก็เต็มไปด้วยพลังบวกไม่แพ้กัน ซึ่งก็เป็นผลมาจากการที่ฟุตเตจทั้งหมดเป็นตัวตนของสมาชิกทั้งสี่คน Chris, Guy, Jonny, Will จริง ๆ

หนังเล่าเรื่องราวตั้งแต่สมัยไล่ล่าหาสมาชิกวงในหอพักมหาวิทยาลัย เรื่อยมาจนถึงการแสดงสดครั้งแรก การทำอัลบั้ม ส่วนใหญ่เป็นเรื่องเกี่ยวกับความสัมพันธ์ของคนในวงที่เคมีลงตัวแม้จะเป็นคนต่างสไตล์กัน (Chris เปรียบว่าพวกเขาเป็นอาหารคนละประเภท ที่มารวมในจานเดียวกันแล้วอร่อยกว่าการกินเปล่า ๆ) เนื้อหาวันร้าย ๆ ของวงก็มี ทั้งการที่ Will Champion มือกลองรู้สึกเป็นตัวถ่วงจนออกจากวงไปพักหนึ่ง หรือความเครียดที่เกิดจากการหย่าร้างของ Chris Martin กับ Gwyneth Patrol เป็นต้น แต่ส่วนใหญ่แล้ว AHFoD จะเน้นไปที่ความมีเหตุผล ความรัก และความฝันมากกว่า

ในแง่ของฟุตเตจหาดูยาก ส่วนที่โฟกัสมากจะอยู่ในช่วง 2-3 อัลบั้มแรก เราจะได้เห็นการเกิดขึ้นของเพลงดังหลายเพลง ทั้ง “Yellow”, “The Scientist”, “Fix You” แต่ช่วงอัลบั้มหลังจากนั้นก็ข้ามไปแบบรีบ ๆ แต่มาเน้นที่ A Head Full of Dreams ตามชื่อเรื่องเป็นหลัก ก็เป็นอะไรที่ชวนว้าวอยู่หลายฉากหลายตอน รวมถึงฟุตเตจจากเวิลด์ทัวร์รอบล่าสุดที่มี Bangkok โผล่ขึ้นมาให้เห็นอยู่บ่อยครั้ง (แถมมีฉากที่สนามมวยราชดำเนินด้วย เซอร์วิสแฟน ๆ มาก 55)

มีแว่บหนึ่งที่นึกถึงหนังเรื่อง Boyhood ที่ใช้นักแสดงชุดเดิมถ่ายทำต่อเนื่องกันหลายปีเพื่อให้เห็นถึงการเติบโตของแต่ละคน ซึ่งใช้เพลงเปิดเรื่องเป็นเพลง “Yellow” เหมือนกัน จะบอกว่า Coldplay: A Head Full of Dreams เป็นหนัง Boyhood ในอีกเวอร์ชันก็คงได้ เพราะตัวแสดงในเรื่องก็เป็นคนเดิมเสมอมาไม่ว่าเวลาจะผ่านไปกี่สิบปี และไม่ใช่แค่เป็นบุคคลคนเดิมที่ยังอยู่ด้วยกัน ทว่า ตัวตนข้างในของ Chris, Guy, Jonny และ Will ก็ไม่ได้เปลี่ยนไปจากสิ่งที่เราได้เห็นจากภาพของพวกเขาในหอพักมหาวิทยาลัยซักเท่าใดนัก

น่าเสียดายที่ Coldplay: A Head Full of Dreams เข้าฉายพร้อมกันแค่วันเดียวทั่วโลก หลังจากนี้คงต้องรอสั่ง DVD มาสะสมกันเอาเองครับ สำหรับคนที่พลาดไป บาย

ขอบคุณ Documentary Club สำหรับการจองที่ในโรงหนังไว้ให้เสมอมาครับผม

เนื่องจากอินมาก ขอทิ้งท้ายด้วยบรรดาทวีตรีวิวจากผู้คนรอบตัวที่ได้รับชมไว้ตรงนี้ด้วยครับ