เข้าฉายในโรงหนังที่สหรัฐอเมริกาไปเป็นเวลานานถึง 3 สัปดาห์แล้วสำหรับภาพยนตร์? คอนเสิร์ต? “Metallica Through the Never” ภาพยนตร์สามมิติที่มีเรื่องแรกของเมทัลลิก้า
ต้องบอกว่าภาพยนตร์เรื่องนี้เปิดตัวได้ “ล้มเหลว”
จากทุนสร้างทั้งหมด 18 ล้านดอลลาร์สหรัฐ Metallica Through the Never ทำเงินจากบ็อกซ์ ออฟฟิซในอเมริกาไปได้แค่เพียงประมาณ 3.2 ล้านดอลลาร์สหรัฐเท่านั้น ซึ่งแอ็กเซล โรเซนเบิร์ก (ผู้ร่วมก่อตั้ง MetalSucks) ผู้เคยทำงานในวงการภาพยนตร์มาก่อนได้วิเคราะห์ว่าหากรวมค่าโปรโมตภาพยนตร์เข้าไปด้วยแล้ว น่าจะมีต้นทุนรวมของหนังอยู่ที่ไม่ต่ำกว่า 36 ล้านดอลลาร์สหรัฐเลยทีเดียว ซึ่งในส่วนนี้ยังไม่ร่วมค่าโปรโมตนอกประเทศ
โรเซนเบิร์กได้วิเคราะห์ปัจจัยหลักที่ทำให้ภาพยนตร์เรื่องนี้ “ล้มเหลว” ออกมาจำนวน 3 ข้อ
1. การตลาด
เหตุผลหลักที่ทำให้ผู้คนไม่เลือกที่จะดูหนังเรื่องนี้คือ ผู้คนไม่รู้ว่านี่คือภาพยนตร์ที่มีการเล่าเรื่อง หรือเป็นแค่คอนเสิร์ตกันแน่? เนื่องจากแผนการตลาดที่ใช้โปรโมตหนังเรื่องนี้ไม่ได้ตอบออกมาอย่างชัดเจนนัก ยกตัวอย่างเช่นโปสเตอร์ด้านล่าง :
โปสเตอร์หนังเลือกใช้นักแสดงนำ เดน เดอฮาน เป็นจุดเด่นจุดเดียวของภาพ ซึ่งถ้าทางวงต้องการจะใช้เขาในการโปรโมตหนังก็ต้องบอกว่าล้มเหลวตั้งแต่แรกเริ่ม เพราะเขาไม่ใช่นักแสดงที่มีชื่อเสียงอะไรซักเท่าไหร่ ไม่เคยปรากฏตัวในหนังดัง ถึงจะมีภาพของวงดนตรีอยู่บนโปสเตอร์ด้วยก็ตาม แต่มันก็เล็กและไม่ได้ถูกยกขึ้นมาเป็นจุดโฟกัสสายตา เรียกว่าแทบไม่มีความสำคัญอะไรเลย ถ้าคุณไม่รู้ว่าเมทัลลิก้าคือใคร คุณก็จะไม่รู้ว่านั่นคือเจมส์ เฮทฟิลด์หรือเคิร์ก แฮมเม็ตต์ แถมยังมองไม่เห็นหน้าตาของลาร์ส อุลริชและโรเบิร์ต ทรูฮีโรที่ยืนหันหลังเล่นเบสอยู่อีก (เป็นภาพลักษณ์ของตัวเขาเอง ช่วยไม่ได้) ส่วนชื่อวงกับชื่อหนังยังเอาไปอยู่ด้านล่างอีก ซึ่งถ้าเทียบกับปกของสตูดิโออัลบั้มของเมทัลลิก้าแล้ว ปกซีดีเหล่านั้นจะแสดงภาพของ ‘โลโก้วง’ ออกมาให้โฟกัสได้เด่นชัดกว่า และถึงอัลบั้มปกดำจะดำจนมองไม่เห็นอะไรเลย แต่ก็มีเพลงฮิตตลอดกาลออกมาเป็นจุดขายอยู่ดี ต่อไปก็เป็นเรื่องของภาพนักแสดงนำของเรา เดอฮาน ใส่ผ้าเช็ดหน้าปิดหน้าจนไม่รู้ว่าเป็นใครจนนึกว่าเป็นโปสเตอร์หนังทริลเลอร์เฮอเรอร์ — ลารส์ อุลริชบอกว่า “ผมทำหนังเรื่องนี้มาตั้งสามปี แต่ผมก็ไม่รู้ว่า ‘การเล่าเรื่อง’ (narrative) มันหมายความว่าอะไร” — อีกทั้งชื่อหนังที่โคตรพางง ไม่ได้บอกถึงพล็อตเรื่องหรืออะไร สรุปแล้วแผนการตลาดทั้งหมดของหนังเรื่องนี้ทำให้ทั้ง ‘แฟนเพลง’ และ ‘นักดูหนัง’ สับสนจนไม่มีจุดเด่นอะไรมากพอที่จะดึงให้ผู้คนมากมายไปดูหนังของพวกเขา เหมือนที่แห่กันไปดูคอนเสิร์ตของพวกเขา
2. ผู้กำกับ
ภาพยนตร์เกี่ยวกับวงดนตรีที่ออกมาก่อนหน้านี้อย่าง Shine a Light ของวงเดอะ โรลลิง สโตนส์ที่ฉายเมื่อปี 2008 ทำรายได้ในอเมริกาไป 5.5 ล้านดอลลาร์สหรัฐทั้งที่ฉายในโรงหนังน้อยกว่าเมทัลลิก้าถึง 28 แห่ง และเมื่อต้นปีที่ผ่านมา ภาพยนตร์สามมิติของวงวัน ไดเรคชันเรื่อง This is Us ก็ทำเงินไปถึง 28 ล้านดอลลาร์สหรัฐ (ทั้งที่ทุนสร้างแค่สิบล้าน — ยังไม่รวมค่าโปรโมต) สิ่งที่ภาพยนตร์สองเรื่องนี้มี แต่ Through the Never ไม่มี ก็คือชื่อเสียงของผู้กำกับ สำหรับกรณีของวัน ไดเรคชัน เขาได้ผู้ที่เคยถูกเสนอชื่อเข้าชิงออสการ์อย่างมอร์แกน สเปอร์ล็อก ส่วนของโรลลิง สโตนส์ พวกเขาได้มาร์ติน สกอร์เซซี ผู้กำกับหนังชื่อดัง ดีกรีรางวัลออสการ์ คนพวกนี้มีพลังที่จะส่งสารไปหาผู้รับชมได้ว่า “เราตั้งใจทำมันออกมาจริง ๆ – ช่วยจริงจังกับมันด้วย” และด้วยชื่อเสียงของพวกเขา ทำให้ไม่ว่าคนดูจะเป็นแฟนเพลงของวงเหล่านี้หรือไม่ คนก็ไปดูอยู่ดี ทางด้านเมทัลลิก้า พวกเขาจ้างนิมร็อด แอนทัล ผู้ที่พอจะนึกผลงานดัง ๆ ออกแค่เรื่องพรีเดเตอร์เรื่องเดียว (แถมไม่สนุกอีก) และหากไม่ใช่คอหนังก็แทบจะไม่รู้จักตานี่เลย ยิ่งทำให้ความสนใจลดลงไปอีก เขาไม่ได้สร้างความน่าสนใจอะไรมาให้หนังเรื่องนี้เลย เพียงแค่ทำงานให้มันเสร็จทันเวลาตามเงินทุนที่ได้มา ความจริงเมทัลลิก้าไม่ต้องจ้างคนดังระดับเดียวกับมาร์ติน สกอร์เซซีมากำกับหนังของพวกเขาก็ได้ แต่ก็มีผู้กำกับที่ดีและดังกว่านี้อยู่อีกมาก
3. เวลา
Through the Never เปิดตัวอย่างยิ่งใหญ่ด้วยการเข้าฉายในระบบไอแม็กซ์สามมิติ แต่ดันเข้าฉายพร้อมกับหนังไซ-ไฟเรื่องดังอย่างกราวิตี้ที่บรรดานักวิจารณ์และคนดูต่างพูดกันปากต่อปากว่าต้องดูในโรงไอแม็กซ์เท่านั้น นั่นทำให้เมทัลลิก้าต้องกระเด็นออกจากโรงไอแม็กซ์ไปเร็วกว่าที่ควรเพราะต้องหลีกทางให้หนังที่ดังกว่าและทำเงินกว่าอย่างกราวิตี้เข้าฉายในโรงต่อไป — จะเป็นการดีกว่านี้ถ้าชะลอการเปิดตัวไปจนกว่าจะมีที่ว่างในโรงไอแม็กซ์มากพอสำหรับหนังเรื่องนี้มากกว่านี้ อาจจะเป็นปีหน้าก็ได้
สำหรับในเมืองไทย ไม่มีหนังเรื่องนี้เข้าฉาย และผมก็ไม่คิดจะดูตั้งแต่เห็นเทรลเลอร์หนังเรื่องนี้แล้ว ครั้งแรกที่ได้ดูเทรลเลอร์ของ Through the Never ก็ตั้งคำถามออกมาทันทีว่า ‘นี่มันหนังหรือคอนเสิร์ตกันแน่วะ?!’ แถมยังไม่สนุกตั้งแต่เทรลเลอร์อีก แล้ว… ใครจะไปยอมเสียเวลาหามาดู
ให้โหลดเถื่อนยังคิดก่อน สวัสดีครับ
ที่มา – MetalSucks.net

ผู้ร่วมก่อตั้ง และอดีต บก. Headbangkok.com