บทสัมภาษณ์ลารส์ อุลริช (มือกลองเมทัลลิก้า) จากเว็บไซต์เดอะ ทอล์คส์

ตอนแรกคิดว่าจะลงแค่ส่วนหนึ่งของบทสัมภาษณ์ที่เว็บไซต์เมทัล แฮมเมอร์ตัดออกมา แต่คิดอีกที ลงทั้งหมดน่าจะโอเคกว่า ถ้าตรงไหนแปลผิดแปลถูก, อ่านไม่รู้เรื่องช่วยทักท้วงเข้ามาทีครับ พิมพ์ไปตามความเข้าใจของบล็อกเกอร์สมัครเล่นคนนึง

ลารส์ คุณสนใจในงานศิลปะมาตลอดเลยใช่มั้ย?
“ผมโตมาในครอบครัวที่อุดมไปด้วยวัฒนธรรม ย้อนกลับไปยุคหกศูนย์ที่โคเปนเฮเกน ที่นั่นมีดนตรีและงานศิลปะเต็มไปหมด และที่นั่นตื่นตัวกับทุกศาสตร์ทุกศิลป์ในโลกตลอดเวลา ผมสนใจในผลงานแบบของ [แอนดี้] วอร์ฮอล และผมจำได้ว่าครอบครัวของผมเคยแนะนำให้ผมรู้จักกับ Marc Chagall แล้วก็ใครต่อใครในสายงานนี้อีกเพียบเลย”

ในภาพยนตร์ Some Kind of Monster เมื่อปี 2004 ทำให้เราได้รู้ว่าคุณหมดเงินไปกับการประมูลงานศิลปะกว่า 13 ล้านดอลลาร์ คุณเริ่มต้นสะสมงานศิลปะพวกนี้ตั้งแต่เมื่อไหร่?
“ผมใช้เวลามากมายในปลายยุคแปดศูนย์และต้นยุคเก้าศูนย์หมดไปกับการนั่งเครื่องบิน ผมก็เลยเริ่มต้นอ่านพวกอาร์ต แม็กกาซีน แล้วก็แค็ตตาล็อกประมูลของ Sotheby’s กับ Christie’s แล้วก็ได้พบกับสิ่งที่ผมชอบ มันคือภาพของวอร์ฮอลที่ครอบครัวของผมเคยแขวนไว้ในห้องนั่งกินข้าวตอนผมยังเป็นเด็ก ตอนที่พวกเขาแยกทางกันและผมเริ่มต้นฟอร์มวงเมทัลลิก้า พวกเขาก็ขายมันออกไป แล้วผมก็เริ่มทำเงินจากเมทัลลิก้าได้ ผมตัดสินใจที่จะตามหาภาพวอร์ฮอลชิ้นนี้ มันเป็นภาพวอร์ฮอลกับแอปเปิลสามลูก มันมีความหมายแม่ผม พ่อผม แล้วก็ตัวผมด้วย ผมตามหาจนเจอและซื้อมันกลับมา นั่นคือการซื้อครั้งแรก หลังจากนั้นไม่กี่ปีผมก็เริ่มต้นซื้องานศิลป์ของพวก Karel Appel, Asger Jorn แล้วก็งานของศิลปินนอกคอกอย่าง Dubuffet”

คุณเคยคิดไว้บ้างมั้ยว่าจะเอาเงินที่ได้จากเมทัลลิก้าไปทำอะไร?
“ไม่ เงินมันไม่สำคัญนักหรอก สมัยที่คุณอายุ 17 หรือ 18 หรือ 19 และคุณกำลังเล่นดนตรี มันจะเหมือนกับจิตวิญญาณของแก๊ง – เราแต่งตัวเหมือนกัน กินของแบบเดียวกับ ดื่มแอลกอฮอล์แบบเดียวกัน ฟังเพลงแบบเดียวกัน และผมคิดถึงงานศิลปะเป็นอย่างแรก สิบปีหลังจากที่ทำวงเมทัลลิก้า วงที่ผมสร้างขึ้นมากับมือ มันเป็นครั้งแรกที่ผมรู้สึกแปลกแยกและอิสระจากกฎที่วงร็อกเคยเป็นมา ในโลกของศิลปะ ผมเป็นตัวของตัวเอง ผมไม่ใช่สมาชิกจากเมทัลลิก้า ผมคือลาร์ส ผมมองหาแต่สิ่งที่ดึงดูดผมและทำให้ผมรู้สึกเป็นอิสระ ผมคิดว่านั่นคือสิ่งที่ผมต้องการที่สุดในเวลานั้น ยุคเก้าศูนย์คือช่วงเวลาแห่งการเริ่มต้นออกเดินทางค้นหาตัวเองของผม คนหาตัวเอง และค้นหาซาวด์ในแบบของตัวเอง”

ในฐานะ ‘เมทัลเฮดผมยาว’ คุณมีช่วงเวลาที่ยากลำบากเข้ากับผู้อื่น [ในวงการศิลปะ] มั้ย?
“ในตอนนั้นโลกของศิลปะเป็นอะไรที่ยังหัวโบราณอยู่ และถ้าคุณเป็นเมทัลเฮดผมยาว เจาะหูที่อายุประมาณยี่สิบแปดหรือสามสิบมันก็จะออกมาแบบ ‘ไอ้ห่า มึงเป็นใครวะ?’ แน่นอน ผมจำได้ว่าผมเดินเข้าไปในร้านขายเพชรที่เบฟเวอรี ฮิลส์ระหว่างออกทัวร์โปรโมตอัลบั้ม …And Justice for All ในปี 1988 และพวกเขาคิดว่าผมจะมาปล้นร้าน แต่เมื่อคุณมีปํญญาซื้อภาพวาด นั่นคือบัตรผ่านว่าคุณตั้งใจเข้ามาในนี้จริง ๆ ไม่ใช่แค่หลงเดินเข้ามา ทุกวันนี้มันไม่เหมือนแบบนั้นแล้ว”

ย้อนกลับไปในยุคแปดศูนย์​ ดูเหมือนว่าดนตรีเมทัลจะไม่ได้เป็นที่นิยมเท่าทุกวันนี้ คุณเห็นด้วยมั้ย?
“ผมไม่ใช่คนที่คุณจะมาถามอะไรแบบนี้ แต่แน่นอนว่าโลกทุกวันนี้มันเล็กลงกว่าเมื่อตอน 20-30 ปีก่อนเยอะเลย เวลาที่คุณไปในมุมอื่น ๆ ของโลกคุณจะพบกับสุนทรียศาสตร์ที่งดงามในช่วงเวลานั้น เราเพิ่งไปทัวร์ที่มาเลเซีย สิงคโปร์ อินโดนีเซีย จีนและที่อื่น ๆ ในโลก มันมีแต่สตาร์บัคส์แล้วก็เบอร์เกอร์ คิง คล้ายกันไปหมดในทุกมุมโลก ครั้งแรกที่เราไปญี่ปุ่นในปี 1986 มันเหมือนกับว่าเราไปในอีกจักรวาลนึงเลย ครั้งแรกที่เราไปที่ Iron Curtain (รั้วลวดหนามแบ่งเขตประเทศในแถบยุโรป) ที่ฮังการีเรารู้สึกเหมือนเรากำลังไปดวงจันทร์ ทุกวันนี้ดนตรีแทรกเข้าไปในทุก ๆ รากฐานของโลกในทางที่มันไม่เคยทำได้มาก่อน”

จากผลงานที่คุณทำมากับเมทัลลิก้า คุณคิดว่าตัวเองเป็น ‘ศิลปิน’ หรือยัง?
“ผมคิดว่าเมื่อเราแก่ขึ้นเราจะเริ่มมองตัวเองเป็นศิลปินมากขึ้น คำนี้อาจจะดูประดิษฐ์ไปซํกหน่อย – ‘ผมเป็นศิลปิน แล้วผมก็โคตรเจ๋งเลย’ มันก็ไม่ขนาดนั้น ศิลปินทำอะไร? พวกเขาสร้างสรรค์​ ผมเป็นศิลปินมั้ย?​ ใช่ ผมสร้างผลงาน ผมฝันถึงมัน ผมเห็นและได้ยินมันในหัว และสร้างมันออกมา”

คุณเคยบอกว่า “เมทัลลิก้าไม่ใช่สินค้า มันคือคนจริง ๆ เขียนจริงจริง ๆ โดยไม่กังวลว่าผลจะออกมาเป้นยังไง” สำหรับผมมันเป็นส่วนที่สำคัญมากในงานศิลป์ – ทำอะไรเพื่อสนองความต้องการของตัวเอง
“จริง ๆ แล้วเราชอบที่จะทำให้แฟนเพลงของเราพอใจในทุก ๆ สิ่งของเรา แต่คุณจะต้องทำผลงานเพื่อตัวคุณเอง ผมคิดว่ามีดนตรีมากมายที่ถูกผลิตขึ้นมาเพื่อเป็นเพียงแค่สินค้า และมันก็ไม่ได้ผิดอะไร เพลงความยาวสามนาทีกับไดนามิคง่าย ๆ ที่ทำให้พวกเขาได้การยอมรับในคลื่นวิทยุมากกว่าในสื่อกระแสหลัก เราแค่ไม่เคยเล่นคอนเสิร์ตแบบนั้น ถ้าคุณต้องการขายสินค้า คุณก็จะทำมันออกมาให้ดึงดูดผู้คนให้มากที่สุดเท่าที่คุณจะขายมันได้ แต่นั่นไม่ใช่ทางแบบที่เราทำ ถ้าเราต้องการขายอะไรซักอย่าง เราขายแค่ยาสีฟันก็ได้”

คุณเรียนรู้ที่จะจัดการกับความคาดหวังที่สูงขึ้น [ของแฟนเพลง] จากความประสบความสำเร็จที่มากขึ้นของวงยังไง?
“ผมคิดว่าเราแค่ฝึกฝนตัวเองเหมือนกับทุก ๆ เรื่อง ฝึกที่จะกันมันออกไปจากคุณและคุณจะต้องฝึกมันให้หนักเพราะทุกวันนี้มันมีอินเทอร์เน็ต และความเห็นของทุก ๆ คนในนั้นมันก็หนักขึ้น คุณต้องระมัดระวังอย่างมากในการก้าวผ่านสิ่งที่ไม่ค่อยน่าพอใจอย่างมากไปให้ได้ เมื่อยี่สิบปีเวลาคุณทำผลงานออกมา มันก็จะออกมาแค่ ‘อัลบั้มนี้ดี’ ‘อัลบั้มนี้ห่วยแตก’ ‘นี่คือเหตุผลว่าทำไมอัลบั้มนี้ห่วยแตก’ ทุกวันนี้มันออกมาแบบ ‘ไปตายซะไอ้ห่าลารส์!’ คุณรู้มั้ยผมหมายความว่ายังไง? มันเป็นความแตกต่างและการวิพากษ์วิจารณ์, ความคาดหวังจากผู้คนมันมากขึ้น ถ้าคุณให้ความสนใจกับมัน คุณต้องเรียนรู้ที่จะไม่เก็บมันติดตัวมาด้วย และผมหนังหนาพอ ผมคิดว่ามันสมดุลกันแหละ”

ผู้คนมากมายบอกว่าเมทัลลิก้าทำเพลงออกมาโคตรห่วยแตกตั้งแต่กลางยุคเก้าศูนย์จนถึงช่วงปี 2000s และอัลบั้มล่าสุดที่ออกเมื่อปี 2008 คือการกลับมาที่ดีที่สุดในรอบ 29 ปี คุณคิดยังไง?
“ข้อเสียของอินเทอร์เน็ตก็คือในบางครั้งทุกสิ่งดูเหมือนจะกลายเป็นซาวด์ไบท์[1]ที่โคตรสั้น ทุกสิ่งทุกอย่างมันสั้นลงและสั้นลงเพราะผู้คนมีระยะเวลาในการให้ความสนใจต่อสิ่งต่าง ๆ ที่สั้นลง และนั่นคือแนวโน้มในการนิยามทุกสิ่งทุกอย่าง พวกเขานิยามเมทัลลิก้าไว้ว่า ‘เมทัลลิก้ามีอัลบั้มที่บุกเบิกวงการดนตรีในยุคแปดศูนย์มากมาย แล้วพวกเขาก็ตกต่ำลงในกลางยุคเก้าศูนย์ หลังจากนั้นเขาก็ห่วยแตกลงอีกในช่วง 2000s’ ถ้า [คุณคิดว่า] ช่วงตกต่ำของเราคือช่วงกลางยุคเก้าศูนย์ ผมคิดว่ามันยอดเยี่ยม เราปล่อยอัลบั้มออกมาสี่ชุดในสี่ปีตั้งแต่ ’96-’99 และถ้า [คุณ] อัลบั้มพวกนั้นมันไม่ดีพอ ผมกลับมีความสุขกับมันมากเพราะผมคิดว่าทั้งสี่ชุดที่ออกมาแม่งเจ๋งเหี้ย ๆ”

งั้นคุณให้นิยามกับเมทัลลิก้าไว้ยังไง?
“ฟังนะ แต่ละอัลบั้มที่ออกมาในแต่ละช่วงเวลา มันคือสิ่งที่เยี่ยมที่สุดในช่วงเวลานั้น เยี่ยมที่สุดเท่าที่มันจะเป็นได้ เยี่ยมที่สุดเท่าที่เราจะนำเสนอออกมาได้ สิ่งหนึ่งที่ดึงผมขึ้นมาตลอดสามสิบสองปีที่ผ่านมาก็คือ มันเป็นการเดินทางที่ตรงไปตรงมา เราไม่ได้ทำมันทั้งหมดเพราะมีแรงจูงใจที่ลึกลับหรือเพื่อการตลาดอะไรพวกนั้น ผมรู้สึกภูมิใจกับมันทั้งหมด ผมสามารถมองตัวเองในกระจกแล้วบอกออกมาว่า ‘มันโอเค’ ได้อยู่ เพราะผมคิดว่าในเวลานั้นผมทำดีที่สุดแล้ว ผมพอใจกับสามสิบสองปีแรก และเรามาดูกันว่าสามสิบสองปีให้หลังจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง”

คุณจะอายุ 50 ในสิ้นปีนี้ นั่นทำให้คุณกลายเป็นมือกลองแก่ ๆ คนนึง
“ผมยัง 49 โว้ยเพื่อน! ไม่ ฟังนะ อายุแม่งไม่มีความหมายสำหรับผมเลย ผมมีความสุขกับชีวิตมาก ๆ ผมรักทุก ๆ ประสบการณ์ชีวิตและทุก ๆ อย่างที่… ผมหมายถึงสติปัญญาน่ะ แต่ผมจะไม่พูดแบบนั้นหรอก ผมรักอะไรก็ตามที่มันผ่านเข้ามาในตอนที่ยังมีชีวิต มีลูก เปิดตาของคุณให้กว้างเข้าไว้”

คุณรู้สึกเหมือนกับผ่านอะไรมามากมั้ยในหลาย ๆ ปีที่ผ่านมา?
“ผมเริ่มต้นตอนยังเด็กมาก ผมฟอร์มวงเมทัลลิก้าตอนอายุสิบเจ็ด ตอนที่ผมอายุสิบแปดก็ออกเดินทางไปทั่ว และเรามีอัลบั้มแรกตอนอายุสิบเก้า ผมทำสิ่งต่าง ๆ ไปแล้วมากมายที่มันทั้งบ้าและเจ๋ง แล้วก็สนุกปนวิตถารด้วย เท่าที่ผ่านมาก็โอเคดี”

ผมคิดว่านั่นเป็นทัศนคติที่ดี ใครบางคนบอกผมว่าคุณไม่ควรจะละอายใจในงานศิลป์ของตัวเองเพราะมันคือภาพสแน็ปช็อต[2]ของตัวตนที่คุณเป็นในเวลานั้น ๆ แค่นั้น
“ผมไม่ใช่คนประเภทที่จะบอกว่า ‘ทุกสิ่งเกิดขึ้นเพราะมีเหตุผลของมัน’ อะไรแบบนั้น ผมเชื่อว่าตัวคุณคือผลจากทางเดินที่คุณเลือกและผมคิดว่าทุก ๆ สิ่งที่คุณทำมันเชื่อมต่อกับสิ่งต่อไปที่คุณจะทำ แต่ละการกระทำมีผลสะท้อนกลับของมัน การสัมภาษณ์ครั้งนี้ทำให้ผมคิดถึงบางสิ่งบางอย่างที่คุณกับผมเพิ่งพูดคุยกันไป บางทีพรุ่งนี้ผมอาจจะมองโลกใบนี้เปลี่ยนไปอีกเล็กน้อย แล้วเหตุการณ์ทุกอย่างก็จะเปลี่ยนไปในวันพรุ่งนี้ ผมไม่รู้ว่ามันฟังดูปรัชญาเกินไปหรือเปล่านะ (หัวเราะ) บางทีอาจจะเพราะว่าทุกสิ่งมันเชื่อมถึงกันหมด และผมไม่คิดจะเปลี่ยนแปลงมัน”

หลังจากอ่านจบ ผมชอบในมุมมองด้านงานศิลปะของลารส์ที่ว่า มันคือสิ่งที่ดีที่สุดที่ทำออกมาในเวลานั้น ถึงแม้คนอื่นจะมองว่ามันห่วยก็ตาม

แต่อัลบั้ม Load, ReLoad, St. Anger นี่มันห่วยจริง ๆ นะครับลารส์ครับ สวัสดีครับ

[1] อ่านคำอธิบายเรื่อง Sound bite แบบคร่าว ๆ ได้ที่นี่ครับ: http://en.wikipedia.org/wiki/Sound_bite
[2] คำอธิบายโดยย่อของ Snapshot: http://www.thaidphoto.com/forums/showthread.php?t=124514

ที่มา – The Talks