ยังคงอยู่กันที่ประเด็นของทิม แลมบีซิส อดีตนักร้องนำวง As I Lay Dying ที่ถูกตัดสินจำคุก 6 ปีจากคดีวางแผนสังหารภรรยาที่แยกกันอยู่ เมแกน แลมบีซิส ก่อนหน้านี้ได้พูดถึงบทสัมภาษณ์ครั้งสุดท้ายของเขากับ Alternative Press เกี่ยวกับความสัมพันธ์กับเพื่อนร่วมวงไปแล้ว
ในตอนนี้จะมาดูกันถึง ‘จุดเริ่มต้น’ ของเรื่องราวทั้งหมดนี้ ว่ามันมีที่มาที่ไปจากไหน อะไรยังไง อ่านได้ด้านล่างครับ
“หลังจากที่เราแยกกันอยู่ ผมได้รับอนุญาตให้พบหน้าลูกได้แค่สัปดาห์ละสองครั้ง และเมแกนก็จะนั่งดูอยู่ด้วยในระหว่างที่ผมมาเจอลูก… มันน่าอายมากที่ผมได้ใช้เวลาอยู่กับลูกในเวลาที่ถูกจำกัดและถูกควบคุม แต่ผมคิดว่ามันจะผ่านไปได้ในซักวัน แต่มันก็ใช้เวลานานมาก ในตอนนั้นผู้พิพากษาได้ออกกฎเกี่ยวกับการคุ้มครองแล้ว พวกเด็ก ๆ มองผมเหมือนเป็นคนนอก มันเหมือนกับว่าผมเป็นแค่ใครบางคนที่มาเยี่ยมพวกเขา… พอผมเป็นคนนอก เหมือนพวกแขกที่มาเยี่ยม พวกเราเรียกผมว่า ‘พ่อ’ แต่พวกเขาไม่ค่อยแน่ใจในบทบาทที่ผมควรจะเป็นในชีวิตของพวกเขา ไม่ใช่เพราะผมรับบทบาทได้ไม่ดีพอ แต่เพราะเขาพวกคิดว่าแม่ของเขาเป็นคนดูแลพวกเขาและพ่อเป็นแค่ใครก็ไม่รู้ในตอนนั้น และนี่มันเกิดขึ้นหลังจากที่ผมตกอยู่ภายใต้กฎการควบคุมการเยี่ยม ผมบอกกับนักสังคมศาสตร์ที่เตรียมตัวพวกเราสำหรับขึ้นศาลว่าเรื่องนี้มันน่าอายแค่ไหน ที่ผมต้องการเวลากับพวกเด็ก ๆ มากขึ้น เขาก็เห็นว่าผมควรจะได้ใช้เวลาอยู่กับลูก ๆ มากกว่านี้ด้วยเช่นกัน และในที่สุดเมแกนก็ต้องการการคุ้มครองแบบ 100 เปอร์เซ็นต์ เธอจริงจังกับเรื่องนี้มาก ถ้าเธอได้ตามที่เธอต้องการ ผมก็ไม่มีอะไรที่จะต้องไปยุ่งกับพวกเขาอีก เธอบอกผมในบางครั้งว่าเธออยากให้ผมตาย นั่นไม่ใช่ความคิดแบบที่ผมมีอยู่ เธอรู้สึกแบบนั้นกับผม แต่เธอก็ไม่ได้มาถึงในระดับที่ผมทำลงไป แต่เวลาที่เธอพูดแบบนั้นออกมา ผมก็คิดไปว่า ‘เธอพยายามจะผลักผมออกไปจากชีวิต ผมต้องการเวลากับเด็ก ๆ มากกว่านี้’ … พอเธอตระหนักได้ว่าผมกำลังพยายามอย่างหนักที่จะได้เวลามากกว่านี้ ผมคิดว่าเธอจะเอาชนะพวกเขาด้วยการทำให้ผมกลายเป็นคนนอกอย่างสมบูรณ์แบบ และมันก็เกิดขึ้น ในบ่ายวันหนึ่งลูกสาวผมถามแม่ของผมว่า ‘ทำไมพ่อของหนูถึงไม่ต้องการอุปการะหนู?’ และแม่ผมก็โทรมาหาผมแล้วเราก็คุยกันเรื่องของอนาคต ลูกสาวผมพูดว่า ‘ทำไมคุณถึงไปออกทัวร์? นั่นมันเพราะคุณไม่อยากใช้เวลาอยู่กับเราใช่มั้ย?’ ผมบอกกับตัวเองว่า ‘เอาล่ะ นี่มันเป็นคำถามตามธรรมชาติ เธอแค่กำลังสับสน’ หลังจากนั้นมันก็กลายเป็นว่า ‘พ่อไปออกทัวร์เพราะพ่อไม่อยากอยู่กับพวกเรา และเขาไม่รักเราเหมือนที่แม่รัก’ มันเปลี่ยนจากคำถามเป็นสถานะ ผมรู้ว่ามีอะไรบางอย่างเกิดขึ้น
ผมรู้สึกว่าทางศาลไม่สามารถทำอะไรเพื่อผมได้เลย ผมไม่ได้เป็นคนขี้โมโหหรือเจ้าคิดเจ้าแค้น ผมแค่เจ็บ ในการพยายามที่จะอธิบายอารมณ์ที่ชี้นำให้เกิดบทสนทนาที่ทำให้ผมถูกจับครั้งนี้ มันไม่ได้เหมือนกับที่ผมหมายความถึงอย่างแน่นอน… ผมไม่ได้ตะโกนชื่อเธอออกมา เหมือนที่ผมพูดไปว่าผมไม่ได้โมโห
เพื่อนร่วมงานของผมคนนี้อยู่ที่ยิมของผม ผมปลดปล่อยความเศร้าของผมใส่เขา ผมถามหาคนคนนี้มาจากคนที่ผมซื้อสเตียรอยด์มา ผมคุยกับเขาในลานจอดรถตอนบ่ายวันหนึ่ง ‘เฮ้ เป็นยังไงบ้าง’ เขาตอบว่า ‘ก็ดี นอกเสียจากว่าคุณต้องการจะให้ผมฆ่าใครซักคนเพื่อคุณ’ อะไรประมาณนั้น ผมก็แบบ ‘เฮ้ย พูดอะไรของแกเนี่ย?’ เขาบอกต่อไปว่า ‘ผมรู้ว่าคุณผิดหวังในตัวภรรยาของคุณ…’ เขาเป็นพวกแบบ เขาเป็นคนขายสเตียรอยด์ เขามีเบื้องหลังที่ไม่ดี คุณเข้าใจที่ผมพูดมั้ย? แล้วผมก็นึก ๆ ดูว่า ‘ไอ้นี่มันมาถึงจุดนี้ได้ยังไง?’ เขาเริ่มต้นถามผมแบบมีวาทศิลป์ว่า ‘คุณเคยพยายามแก้ไขปัญหานี้กับทนายของคุณมั้ย?’ ผมตอบว่าเคย แต่มันก็อีกหลายเดือนกว่าจะได้เจอกับผู้พิพากษาอีก ‘คุณได้ลองคุยกับพวกนักสังคมศาสตร์หรือยัง? พวกผู้ให้คำแนะนำ?’ ผมตอบว่าใช่ และพวกนักสงคมศาสตร์ก็เคยเจอเด็ก ๆ แล้ว เขาไปต่อว่า ‘เยี่ยม คุณรู้ว่าตัวเลือกทางอื่นของคุณคือผมสามารถหาใครบางคนมาจัดการเรื่องนี้ได้’ ‘คุณคิดทางเลือกอื่นที่ดีกว่านี้ได้มั้ยล่ะ?’ เขาถามเชิงชี้นำ ‘นี่มันไม่ถูกต้องเท่าไหร่ นี่ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับผม’ แต่ในตอนนั้นความคิดผมก็มีอยู่แค่ว่า… ตราบเท่าที่มันยังไม่มีตัวเลือกที่ดีกว่านี่ นี่คือทางเลือกที่ดีที่สุด จริง ๆ แล้วในตอนนี้ผมสามารถคิดอะไรออกได้เพียบเลย และผมเข้าใจระบบกฎหมายมากขึ้นด้วย มันมีวิธีการที่เร่งด่วนมากมายที่สามารถทำให้ผู้พิพากษาดำเนินการเรื่องนี้ได้ไวขึ้นอย่างถูกกฎหมาย ซึ่งผมไม่รู้มาก่อน มันมีเรื่องมากมายที่ผมเพิ่งคิดออกตอนนี้ แต่ผมเพิ่งเริ่มต้นที่จะพัฒนาชุดความคิดซะใหม่ … ‘เอาล่ะ ผมคิดว่านี่เป็นเส้นทางที่ผมจะต้องก้าวไป'”
ที่มา – Blabbermouth.net

ผู้ร่วมก่อตั้ง และอดีต บก. Headbangkok.com