ดูเหมือนว่า Matt Heafy ฟรอนท์แมนมาดหลวงพี่ของวงคงกลัวเวลาในช่วงที่ออกทัวร์ไม่ได้ในปีที่แล้วจะสูญหายไปแบบเปล่าประโยชน์ จึงไม่รอช้าลากเพื่อนๆร่วมวงมาสุมหัวทำอัลบั้มชุดที่สิบกันแบบต่อเนื่องไปเลยดีกว่า (เห็นตามช่องทางโซเชียลต่างๆของวงว่าช่วงนี้เริ่มกลับมารับงานทัวร์กันได้บ้างแล้ว ส่วนบ้านเรานั้น….รอกันไปเถอะ) 

และจะว่าก็ว่าเถอะครับ หลังจากฟังวนไปหลายรอบค่อนข้างมั่นใจว่าอัลบั้มชุดนี้เป็นหนึ่งในงานที่ทางวงผสมผสานมาได้น่าจะกลมกล่อมที่สุดเท่าที่จะทำได้ ณ ขณะนี้แล้ว แฟนๆพวกเขาจะได้พบกับซาวด์ เมทัลคอร์ จากงานยุคแรกๆ, แธรชสายทรูเต็มสูบอย่างอัลบ้ัม The Crusade, Shogun หรือกระทั่ง กรูฟเมทัล อย่างในช่วงยุคกลางของวงที่เปลี่ยนมือกลองแทบจะปีละคน (ฮ่า ๆ ๆ) ทั้งหมดทั้งมวลที่ว่าไปนั้นถูกนำมาคลุกเคล้าให้เป็นเนื้อเดียวกัน โรยหน้าด้วยธีมอัลบั้มสุด Epic และเรียบเรียงในสไตล์ Progressive ไว้เป็นฉากหน้าอีกชั้น

Track by Track

X แทร็คอินโทรเปิดตัวสุดอลังที่ไม่ได้มีนัยยะพิเศษใดๆมากนักนอกจากจะประกาศว่าอัลบั้มที่สิบมาแล้วจ้า

In The Court Of The Dragon ไตเติ้ลแทร็คที่มาพร้อมหน้าพร้อมกันทุกชิ้น เสียงคำรามของ Matt เริ่มกลับมาดีวันดีคืน ภาคริธึมแน่นเปรี๊ยะ ที่น่ายินดีคือไม่ปล่อยให้ Alex มือกลองได้หน้าอย่างโดดเดี่ยวอย่างงานก่อน ๆ อีกแล้ว ยังมีริฟฟ์กีตาร์คมๆรองพื้นสอดประสานกันตลอดทาง

Like A Sword Over Damocles กรูฟเมทัลลูกผสมจังหวะชวยลุยไปข้างหน้าอย่างต่อเนื่อง ดึงจังหวะท่อนฮุคมืดมนทรงพลังไปด้วยเมโลดี้ชวนขนลุก โซโล่และริฟฟ์กีตาร์จาก Cory กระเดียดไปทาง Heavy ยุคคลาสสิคมาก ๆ ยิ่งบวกด้วยการเบิ้ลกระเดื่องเปลี่ยนส่วนดนตรีแบบไม่มีพักอีก เล่นใหญ่มาก ๆ

Feast Of Fire จังหวะกลางหนักแน่นชวนโยกในแบบที่มักมีติดไว้อัลบั้มหลังๆอยู่เสมอ คอรัสร้องตามง่าย ฟังเผินๆนึก Machine Head ได้เหมือนกัน

A Crisis Of Revelation เมทัลคอร์ที่แอบหยิบยืมทริคเก่าๆของงานตัวเองมาใช้แบบเนียนๆ ริฟฟ์กีตาร์ติดหูเอามากๆ แต่ช้าก่อนขอพี่ Paolo ขโมยซีนโชว์แทปปิ้งหล่อๆกับเขาบ้าง โดยรวมมีความซับซ้อนในแบบ Progressive เต็มตัวเลย

The Shadow Of The Abattior พักหูกับเสียงร้องคลีนกดต่ำช่วงต้นเพลงในแบบที่ Matt ไม่ค่อยได้ใช้เท่าไร แปลกหูไปไม่น้อยเหมือนกัน แต่ด้วยความยาวระดับเจ็ดนาทีจะให้มาเนิบนาบกันทั้งเพลงก็ใช่เรื่อง เป็นอีกเพลงที่ขยับโครงสร้างกันชิบหายวายป่วง เรียกว่าโชว์ของกันทุกชิ้นแบบจุกๆ คนที่รับมือกับความผกผันแบบนี้ได้ก็คงจะหนีไม่พ้น Alex เจ้าเก่าอีกเช่นเคย

No Way Back Just Through กลับมาพุ่งทะยานกันเต็มสูบ โฉบเฉี่ยวกันทุกขั้นตอน เน้นริฟฟ์จากกีตาร์เจ็ดสายเป็นตัวขับเคลื่อนที่ต่ำกำลังดี เข้ากันดีกับเนื้อหาสุดปลุกเร้า “ไม่มีทางให้หันหลังกลับ มุ่งไปข้างหน้าโว้ย”

Fall Into Your Hands เร่งเครื่องแบบสปีดและความหนักหน่วงไม่มีตก ริฟฟ์กีตาร์ค่อนข้างติดเมโลดิก มีพาร์ทเครื่องสายเสริมความยิ่งใหญ่ได้เพียบ ก่อนช่วงกลางจะดึงเป็น Heavy โจ๊ะ ๆ มันซะอย่างงั้น หรือกลัวจะเฮฟวี่ไม่พอ Matt เลยขอหยอดประชันโซโล่กับ Cory สักคนละท่อนสองท่อน ก่อนจะกลับมาสู่พาร์ทหลักที่ Alex ยังหวดกลองไม่มีพักราวกับเครื่องจักรในโรงงานที่ไม่มีวันหยุดสุดสัปดาห์

From Dawn To Decadance โมเดิร์นแธรชไม่เน้นความเดือดมากนัก ที่น่าจะกลายเป็นอีกซาวด์ในระยะหลังของวงที่หยิบมาใช้อยู่บ่อยๆ โซโล่กีตาร์ทำหน้าที่ได้หวือหวาตามมาตรฐาน

The Phalanx ปิดอัลบั้มด้วยเพลงที่ทางวงอ้างว่าเป็นเดโมตั้งแต่สมัยอัลบั้ม Shogun ที่ทิศทางมันเข้ากับอัลบั้มล่าสุดนี้พอดี ซึ่งส่วนตัวค่อนข้างเห็นด้วยที่นำเพลงนี้มาใช้ ยังมาในคราบไคลของ Progressive Metal แบบไม่มีกั๊ก หลากหลายจนเกือบจะจับทางลำบาก บางช่วงนี่แทบจะกลายเป็นวงเทคนิคัลไปแล้ว ก่อนที่ช่วงท้ายจะย่ำท่อนจบไปแบบยิ่งใหญ่ เป็นอันรูดม่านอย่างสมบูรณ์แบบ

ชื่นชมในการวางเพลงเอามาก ๆ ครับ ที่ทำให้ฟังได้สนุกต่อเนื่องทั้งที่รายะเอียดตลอดอัลบั้มมันมีอยู่เยอะมาก ๆ ทำเอาตลอดกว่า 50 นาทีดูสั้นไปเลย ว่าแต่ถ้ามีทัวร์แถบนี้ก็อย่าลืมใส่ไทยแลนด์ไปอีกหนนะ เพราะคราวที่แล้ว กู ไม่  ได้ดู โว้ยยยยย (Fuck!!! Covid) แต่ก็ยังไม่รู้ว่าสถานการณ์บ้านเราว่าจะกลับมาจัดคอนเสิร์ตกันได้ชาติไหนนี่ก็สุดจะคาดเดา เหล่าเมทัลเฮดก็เอาใจช่วยสวดมนต์กันเยอะ ๆ ละกันนะครับ เหอะ ๆ