หากใครที่ติดตามวงการอันเดอร์กราวด์ของบ้านเรา คงจะคุ้นหูกับชื่อของ BrandNew Sunset มาบ้างไม่มากก็น้อย ซึ่งจะว่าไปพวกเขาก็โลดแล่นบนถนนสายดนตรีนี้มากว่าสิบปีเข้าให้แล้ว ผ่านประสบการณ์มาโชกโชนหลากหลายรูปแบบไม่ว่าจะ ทำอัลบั้มแบบ D.I.Y. (ทำเองขายเอง), ออกอัลบั้มกับสังกัดระดับเมเจอร์, มีทัวร์คอนเสิร์ตต่างประเทศ ฯลฯ โดยอัลบั้มล่าสุด Of Space and Time ทางวงได้ย้อนกลับไปทำงานแบบ D.I.Y. อีกครั้ง

อัลบั้มชุดนี้เป็นสตูดิโอลำดับที่ห้าของวง โดยทิ้งช่วงจากอัลบั้มก่อน (Welcome Home) ถึงหกปีเต็ม ๆ ด้วยกัน และเมื่อไม่นานมานี้ (23/07/16) ก็ได้มีการจัดคอนเสิร์ตเปิดอัลบั้มนี้ไปเรียบร้อย ซึ่งทุกท่านที่อยู่ในงานวันนั้นพูดเป็นเสียงเดียวกันว่าเดือดมาก!!! ส่วนทิศทางของอัลบั้มนั้นจะเป็นคอนเซ็ปต์เกี่ยวกับการออกเดินทางไปในห้วงอวกาศ, จินตนาการ ครั้นจะคิดให้มันเป็นเนื้อเรื่องต่อเนื่องกันทั้งหมดมันก็สามารถทำได้ แต่จะคิดว่ามันไม่ต่อเนื่องกันก็ได้อีกเช่นกัน ค่อนข้างให้อิสระในการตีความพอสมควร

“Space” อินโทรแทร็คแรกที่พวกเขาเตรียมตัวจะพาคุณออกเดินทางไปพร้อมกับซาวนด์ดนตรีที่ฟังปุ๊บรู้ทันทีว่านี่คือ BNS ของแท้แน่นอนก่อนจะส่งต่อไปที่เพลงต่อมา, “Fire (In Our Hearts)” ซึ่งเป็นยาชูกำลัง (ใจ) อย่างดีที่พวกเขาทำเพลงเนื้อหาลักษณะนี้จนเป็นลายเซ็นชัดเจนของวงไปนานแล้ว ชอบท่อนที่ร้องว่า “กำลังใจจากเธอมันทำให้ฉันก้าวต่อไป (โว โอ๊ โอ)” ด้านดนตรีก็จัดบาลานซ์ได้ลงตัวดีระหว่างหนักกับเบา, “Once in a Lifetime” ผ่อนจังหวะไปกับริฟฟ์ง่าย ๆ คลอไปกับพาร์ทริธึ่มสุดแกร่งจังหวะไม่เร็วมาก เสียงร้องท่อนคอรัสก็จัดว่าติดหูสละสลวยดีก่อนที่คู่มือกีตาร์ ชาย & ก้อง จะจัดริฟฟ์คู่ประสานได้อย่างถูกที่ถูกเวลาและเก๋าเกมสุด ๆ, “Coming Home” อีกเพลงสุดเดือดที่มาในลีลาของ Melodic Hardcore Punk ใส่ยับอัดแหลกชวนมอชแน่นอน ท่อนคอรัสติดหูดีงาม ก่อนช่วงท้ายเพลงอัดท่อนเบรกดาวน์หนัก ๆ มันซะอย่างงั้น ซึ่งทั้งหมดทั้งมวลที่ว่าไปถูกขมวดให้จบลงภายในเวลาไม่ถึงสองนาที!!!

“Spaceship” ออกมากันได้ครึ่งทางกับเนื้อหาที่มีการตั้งคำถามและจินตนาการมากมายพร้อมกับซาวนด์จังหวะลุย ๆ ที่มูฟเมนท์หลากหลายดี ที่ทิ้งท้ายได้ชวนหลอนนิด ๆ ก่อนจะส่งไปหาเพลงถัดไป, “The Hunter” เด่นที่ริฟฟ์กีตาร์หนาๆอ้วนๆชวนอื้ออึงปูพรมไปกับเสียงกระเดื่องคู่ สื่อถึงอุปสรรคความยากลำบากต่าง ๆ ของการเดินทางครั้งนี้อย่างที่ทางวงอยากสื่อแล้วก็ได้อารมณ์แบบนั้นจริง ๆ ขณะที่ท่อนคอรัสนี่ติดหูหนักมากชวนล่องลอยตามไปด้วยตั้งแต่รอบแรกที่ได้ฟัง, “Dear Mother” เพลงที่ตูนนักร้องนำได้แต่งให้กับแม่ของเขา ที่ได้ยินชื่อเพลงครั้งแรกก็คิดว่าจะมาแนวเศร้า ๆ แน่นอน แต่กลับกลายเป็นฟีลป๊อปพังก์สนุก ๆ ที่เลือกถ่ายทอดออกมาในแง่บวกและก็ดูไม่ส่วนตัวมากด้วย เรียกว่าสามารถอินกันได้ทุกฝ่าย, “(Intermission) + Time” บทส่งท้ายของอัลบั้มที่มีความยาวรวมกันร่วม ๆ ยี่สิบนาทีที่กล่าวถึงการเดินทางกลับมายังโลกเดิม ที่ช่วงครึ่งแรกฟังดูโกลาหลจนถึงช่วงท้าย ๆ ที่เนื้อหาเริ่มดูยอมรับกับความเป็นจริงมากขึ้น ขณะที่ภาคดนตรีนี่โชว์สัดส่วนกันเต็มเหนี่ยว ดนตรีร็อกหลากแขนงที่มีทั้งหนัก เบา เงียบสงัด ถูกเรียบเรียงด้วยชั้นเชิงแบบโปรเกรสสีฟอีกชั้นนึง ส่วนตัวชอบซาวนด์กีตาร์ท่อนที่ให้อารมณ์เหมือนเสียง Alarm ของยานลำนี้เนื่องจากมีบาดแผลจากการออกเดินทาง (หรืออาจจินตนาการแทนประสบการณ์ต่าง ๆ ในชีวิต) ปิดฉากจบอัลบั้มนี้ได้อย่างอลังการ

ถือว่าเป็นอัลบั้มที่สุดมากในทุก ๆ แง่ที่วงดนตรีวงนึงจะมอบให้ได้ ซื้อเถอะครับ ถ้าชอบดนตรีร็อกเป็นพื้นฐาน ไม่ผิดหวังแน่นอน