ดนตรีแนวเฮฟวีเมทัลมีการพัฒนาอย่างต่อเนื่องในแวดวงสังคมดนตรี แตกแขนงออกเป็นสายพันธุ์ต่าง ๆ ราวกับดอกไม้ที่ผลิบานในต้นเดียวกันแต่แตกต่างเฉดสีออกไป ในขณะดนตรีคู่ขนานกับเฮฟวีเมทัลอย่างดนตรีฮาร์ดคอร์/พังก์ก็เติบโตเป็นต้นไม้ที่มีรากฐานแข็งแกร่งอยู่ข้างกัน

ต้นไม้สองต้นนี้ในบางครั้งก็มีกิ่งก้านเกี่ยวกันไปมาหรือบางครั้งใบไม้ก็ร่วงหล่นไปอีกลำต้นนึง แต่ก็ยังไม่ท่าทีจะเกี่ยวโยงจนเป็นต้นเดียวกันแบบชัดเจน จนกระทั่งเข้าสู่ศตวรรษที่ 20 ต้นไม้สองต้นก็ถูกจับรวมกันและกลมกลืนอย่างน่าสนใจ

ย้อนกลับไปประมาณเมื่อปี 2000 – 2002 ในช่วงดนตรีนูเมทัลกำลังถึงทางตันและไม่ได้เป็นที่นิยมเหมือนในช่วงแรก วงการดนตรีเมนสตรีมร็อกยังคงมองไม่ออกว่ากระแสดนตรีอะไรจะมารับช่วงต่อ วงนูเมทัลหลาย ๆ วงก็เริ่มเปลี่ยนทิศทางดนตรีเพื่อความอยู่รอดอย่างเช่น Papa Roach ในอัลบั้ม Getting Away With Murder ซึ่งปรับซาวด์หันเหไปทางโพสต์กรันจ์และอเมริกันฮาร์ดร็อก หรือ Limp Bizkit ในอัลบั้ม Results May Vary ก็ออกทะเลจนน่าใจหาย แถมบางเพลงยังออกไปทางฮิพฮอพอย่างรุนแรง

ด้วยเหตุนี้ค่ายเพลงยักษ์ใหญ่ในวงการเมทัลอย่าง Roadrunner Records ผู้ที่เคยปลุกปั่นกระแสดนตรีอย่างเดธเมทัลและนูเมทัลให้เป็นที่นิยมมาแล้วจึงเริ่มขยับตัวและเริ่มทดลองตลาดใหม่ ๆ โดยการจับวง Killswitch Engage เข้าสังกัด และเข็นอัลบั้มแรกในนามค่าย RR และเป็นอัลบั้มที่สองของวงในชื่ออัลบั้ม Alive or Just Breathing เมื่อปี 2002 เมื่อซิงเกิลเพลง “My Last Serenade” ถูกปล่อยออกไปก็ได้รับความสนใจทั้งสื่อในแวดวงดนตรีเมทัลและแฟนเพลงที่เริ่มเบื่อหน่ายกับดนตรีนูเมทัล การได้ฟังซาวด์ที่แปลกใหม่นับเป็นเรื่องที่น่าตื่นเต้นสำหรับแฟนเพลงหนักกระโหลกทั่วไป นอกจากนั้นแล้วยังกลายเป็นแรงบันดาลใจให้วงดนตรีเมทัลหลาย ๆ วงที่ซ่อนอยู่ใต้ดินเริ่มตะเกียกตะกายขึ้นมารับแสงแดดกันถ้วนหน้า อาทิ Shadows Fall, Unearth และ As I Lay Dying เป็นต้น

killswitch-engage

แต่ในช่วงแรงยังไม่มีการบัญญัติศัพท์ที่ใช้กันอย่างชัดเจน แต่สื่อหลาย ๆ สำนักนิยามแนวนี้ว่า “เมทัลคอร์” ด้วยโครงสร้างเพลงที่ปะปนทั้งแธรชเมทัล, เมโลดิกเดธเมทัลหรือสวีดิชเมทัลและฮาร์ดคอร์ (จริง ๆ แล้วคำว่า เมทัลคอร์ เคยถูกนำมาใช้กับวงอย่าง Hatebreed หรือ Earth Crisis มาแล้ว แต่แนวดนตรียังเอียนเอียงไปทางฮาร์ดคอร์ซะเยอะ โดยมีแธรชเมทัลมาช่วยให้โครงสร้างเพลงแข็งแรงขึ้นเท่านั้นเอง จึงนิยมเรียกว่านิวยอร์กฮาร์ดคอร์มากกว่า) แต่ที่แน่ ๆ การเกิดขึ้นของดนตรีเมทัลคอร์ก็เป็นการส่งสัญญาณให้โลกรู้ว่าคลื่นลูกใหม่กำลังซัดเข้ามาแล้ว

จนกระทั่งเข้าปีสู่ 2004 น่าจะเป็นช่วงที่เมทัลคอร์เติบโตอย่างเต็มที่ เมื่อวงเมทัลคอร์หลาย ๆ วงปล่อยผลงานมาสเตอร์พีซออกมาอย่างต่อเนื่องรวมไปถึงค่ายเพลงในแวดวงเมทัลก็เริ่มจับวงแนวเมทัลคอร์มาเซ็นสัญญาและเข็นผลงานออกมากอบโกยผลกำไร ค่ายหัวหอกอย่าง Roadrunner Records เลยจับเอาคำว่าเมทัลคอร์มาปั่นจนเป็นกระแสและยังเพิ่มศัพท์สวยเก๋ ‘New wave of american heavy metal’ ให้ใหม่อีกด้วย ค่าย Roadrunner ก็มี Killswitch Engage ที่ปล่อย The End of Heartache อัลบั้มที่สามของวงในช่วงนั้นและประสบความสำเร็จอย่างมากมาย มีวงที่มาแรงในช่วงนั้นอย่าง Trivium ที่สร้างปรากฎการให้เมทัลคอร์ได้เป็นอย่างดี

as-i-lay-dying

รวมไปถึงค่ายรอง ๆ อย่าง Century Media ก็มีวง Shadows Fall และ God Forbid เป็นตัวชูโรง, Metal Blade ก็มีวง As I Lay Dying และ Unearth, Victory Records (Atreyu, Darkest Hour), Hopeless Records (Avenged Sevenfold), Trustkill Records (Bullet For My Valentine, Bleeding Through), Prosthetic Records (All That Remains) เป็นต้น เรียกได้ว่าค่ายเล็กค่ายน้อยก็ได้รับอานิสงค์ของกระแสนี้ไปเต็ม ๆ นอกจากนั้นเมทัลคอร์ยังขยายไปถึงฝั่งยุโรปโดยเฉพาะเยอรมัน มีวงอย่าง Caliban และ Heaven Shall Burn เป็นแรงขับเคลื่อนกระแสเมทัลคอร์ฝั่งยุโรป

จุดเด่นที่ทำให้เมทัลคอร์เป็นที่นิยมอย่างรวดเร็วคือมีความไพเราะและติดหูนั่นเอง การนำริฟฟ์แบบโกเธนเบิร์กซาวด์ที่วงอย่าง In Flames, At the Gates และDark Tranquility ได้สร้างไว้หรือจะกล่าวอ้างไปถึงวงรุ่นใหญ่จากเกาะอังกฤษอย่าง Iron Maiden ช่วยให้เพลงที่ริฟฟ์กีตาร์ที่ติดหูมากขึ้น ยังได้องค์ประกอบความหนักแน่นจากแธรชเมทัลสไตล์อย่าง Metallica, Slayer และ Exodus มาผสมผสาน รวมไปถึงมีจังหวะชวนมอชพิตที่ได้อิทธิพลมาจากนิวยอร์กอย่างเช่นวง Sick of It All, Earth Crisis และ Madball นอกจากนั้นเสียงร้องถือเป็นจุดสำคัญอย่างยิ่ง

นอกจากเสียงสำรอกแล้ว การใช้คลีนคอรัสมาไว้ในท่อนฮุกช่วยให้เพลงฟังดูเบาลงและติดหูได้ง่ายมากขึ้น จะพูดให้เห็นภาพชัดเจนของเมทัลคอร์คงจะได้สูตรประมาณ At The Gates + Metallica + Hatebreed = Metalcore แต่ถ้าสูตรของการตลาดต้องเป็น โกเธนเบิร์กริฟฟ์ + ท่อนมอชพิต + คลีนคอรัส = เมทัลคอร์

trivium

เมื่อเมทัลคอร์มีสูตรสำเร็จแล้วก็เป็นเรื่องไม่ยากสำหรับนักดนตรีรุ่นใหม่ที่จะนำสูตรดังกล่าวมาทำเพลงจนมันล้นเต็มไปหมด หรือแม้กระทั่งวงต้นแบบริฟฟ์สวีดิชอย่าง In Flames และ Soilwork ก็ปรับซาวด์มาทางเมทัลคอร์เพื่อตีตลาดอเมริกา

แต่ถึงจะมีแบบแผนเดียวกันก็ใช่ว่าจะประสบความสำเร็จทุกวง หากใครฟังเพลงเป็นจะแยกแยะได้ว่าวงไหนเจ๋งหรือวงไหนห่วย จึงไม่น่าแปลกใจที่มีวงเมทัลคอร์ผุดขึ้นมามากมายและก็หายไปมากมายเช่นกัน จนกระทั่งเข้าสู่ปี 2006 ดนตรี “เดธคอร์” ครอสโอเวอร์สายพันธุ์ใหม่ก็บังเกิด ซึ่งจะว่าไปมันก็กลายพันธุ์มาจากเมทัลคอร์แต่นำสัดส่วนของเดธเมทัลเข้ามาเป็นองค์ประกอบเท่านั้นเอง วงหัวแถวในสายเมทัลคอร์หลายวงเริ่มปรับตัวเองเข้าหาความเป็นเมนสตรีมเพื่อความอยู่รอด เช่น All That Remains เริ่มปรับเพลงให้เบาลง ร้องคลีนมากขึ้นแถมยังมีเพลงบัลลาดสไตล์โพสต์กรันจ์อีกดว้ย เช่นเดียวกับ Atreyu ที่เน้นไปทางซาวด์ฮาร์ดร็อกซะมากกว่า Still Remains เองก็หลุดกรอบไปเป็นอิเล็คทรอนิกร็อกทำร้ายจิตใจแฟนเพลง และ Avenged Sevenfold ที่หันเหซาวด์ไปทางโมเดิร์นเฮฟวีเมทัลอย่างเต็มตัว ในช่วงนั้นกระแสเดธคอร์มาแรงมากและดูเหมือนว่ากำลังจะกลบเมทัลคอร์ให้ลงหลุมไป

metalcore-deathcore

ในขณะที่เมทัลคอร์กำลังซาและเดธคอร์กำลังเข้ามาตีตลาดอย่างเมามัน ค่าย Rise Records ค่ายที่เน้นปลุกปั้นวงสายคริสเตียน, สครีมโมและโพสต์ฮาร์ดคอร์ก็ช่วยต่อลมหายใจให้กับเมทัลคอร์ด้วยการปล่อยวงอย่าง The Devil Wears Prada ออกสู่ตลาด ซึ่งซาวด์ของพวกเขานั้นมีเป็นเมทัลคอร์ตามสูตร แต่ปรับซาวด์เข้าหาท่อนเบรกดาวน์ตามสมัยนิยมมากขึ้นและเสริมด้วยไลน์คีย์บอร์ดเข้าไป เสียงร้องอาจจะมีใช้โทนกดต่ำบ้างเพื่อให้เข้ากับยุคสมัยเดธคอร์ แต่โดยรวมพวกเขามีความเป็นเมทัลคอร์ที่ชัดเจนมาก ในอัลบั้มแรก Dear Love: A Beautiful Discord อาจจะดูจับฉ่ายไปเยอะ แต่พอมาอัลบั้มที่สองอย่าง Plagues ถือว่าชัดเจนอย่างยิ่งและยังทำให้วงประสบความสำเร็จและได้รับการตอบรับที่ดีจากแฟนเพลงทั่วโลก นอกจาก The Devil Wears Prada แล้ว ค่าย Rise Records ยังมีวงเมทัลคอร์ฉบับออริจินัลแท้ ๆ พวกเขาคือวง Miss May I

miss-may-i

ดนตรีของพวกเขาได้รับอิทธิพลอย่างเช่นวง Killswitch Engage และ As I Lay Dying มาเต็ม ๆ ทำให้ดนตรีมีเมโลดี้ที่ติดหู รวมไปถึงภาพลักษณ์ที่ถูกใจวัยรุ่นยิ่งส่งให้วงได้รับความสนใจและได้รับการตอบรับดีเยี่ยมไม่แพ้วง The Devil Wears Prada เลยทีเดียว นอกจากนั้นยังมีวงอย่าง Attack! Attack! อีกวงที่น่าจะได้รับอิทธิพลจากเมทัลคอร์แต่ดนตรีมีความเป็นสครีมโมสูงกว่าเมทัลคอร์ รวมไปถึงเน้นซาวด์ไปทางอิเล็คทรอนิคที่โดดเด่นไม่ค่อยเข้าพวกกับเมทัลคอร์ฉบับออริจินัลซักเท่าไหร่ รวมไปถึงค่าย Solid State ก็มีวงอย่าง August Burns Red ออกมาสร้างสีสันด้วยการทำเมทัลคอร์ที่โชว์ความเป็นเทคนิคัลอย่างน่าสนใจ และค่าย Sumerian Records ก็มีวงหน้าใหม่ในตอนนั้นอย่าง Asking Alexandria มาปลุกกระแสด้วยเช่นกัน นอกจากนั้นแล้วออสเตรเลียก็เป็นอีกประเทศนึงที่มีวงเมทัลคอร์คุณภาพเยี่ยมที่มาช่วยต่อลมหายใจของเมทัลคอร์ Parkway Drive และ I Killed the Prom Queen คือวงที่ได้รับความนิยมไปทั่วโลก

i-killed-the-prom-queen

Parkway Drive มีซาวด์ที่ดุเดือดและทรงพลัง ได้รับอิทธิพลเมทัลคอร์ที่มีความเป็นฮาร์ดคอร์สูง (ทางเดียวกับ Unearth) ส่วน I Killed the Prom Queen ก็มีริฟฟ์กีตาร์สวีดิชติดหูเป็นจุดขายรวมไปถึงเบรกดาวน์ที่หนักหน่วง (Darkerst Hour ในฉบับเน้นเบรกดาวน์)

เส้นทางของเมทัลคอร์จากกระแสตั้งแต่ปี 2004 จนมาถึงปี 2014 รวมเวลา 10 ปี นับว่าไม่ธรรมดาเลยนะครับที่จะยืนหยัดอยู่ได้นานขนาดนี้ และก็น่าดีใจที่ยังเห็นวงรุ่นบุกเบิกยุคเมทัลคอร์หลาย ๆ วงยังทำอัลบั้มกันอยู่ อาทิ Killswitch Engage, Still Remains และ Heaven Shall Burn เป็นต้น

จากการวิเคราะห์ของผมเองมองว่าดนตรีเมทัลคอร์ฟังยากกว่านูเมทัลครับ ถึงมันจะเป็นที่นิยมก็เป็นในหมู่คนฟังเมทัลกันเองซะมากกว่า ไม่เหมือนนูเมทัลที่มีความเป็นป็อปสูงกว่ารวมถึงมีฮิพฮอพเข้ามาผสมทำให้มันได้รับความนิยมเป็นวงกว้าง มันจึงมาไวและไปไวตามกระแสนั่นเอง นอกจากนั้นแล้วเมทัลคอร์เป็นดนตรีที่ได้รับความผสมผสานที่หลากหลาย เมื่อใครได้รู้จักและศึกษาจะยิ่งสนุกไปกับมันจากการค้นหาต้นแบบของวงเหล่านั้น ทำให้เด็กรุ่นใหม่ได้รู้จักวงอย่าง Slayer, Metallica, At the Gate, In Flames หรือแม้กระทั่ง Iron Maiden, Black Sabbath ซึ่งส่งผลไปยังวงต้นแบบโดยตรงเพราะได้รับแฟนเพลงเพิ่มจากเด็กรุ่นใหม่อีก เรียกได้ว่าเป็นวัฏจักรเกื้อหนุนกันที่สวยงามและมีคุณค่ามาก ๆ แต่คุณจะไม่มีวันเข้าใจเลยครับหากคุณยังไม่รู้จัก “เมทัลคอร์” ด้วยตัวคุณเอง

The Greatest 10 Original Metalcore Album (ของผมเอง)

jeddy-top-10-metalcore-album

1. Killswitch Engage – The End of Heartache
แรงบันดาลใจของวงเมทัลคอร์ทั่วโลกต้องยกให้อัลบั้มนี้

2. Shadows Fall – The War Within
ผลงานที่เปี่ยมด้วยคุณภาพและศํกยภาพอย่างแท้จริงที่วงการเมทัลคอร์ต้องจารึก

3. As I Lay Dying – An Ocean Between Us
ผลงานตกผลึกจนกลายเป็นมาสเตอร์พีซของวง

4. Unearth – The Oncoming Storm
อัลบั้มที่มีซาวด์โคตรเดือดจนอยากต่อยหน้าคน

5. Trivium – Ascendancy
อัลบั้มที่ดีที่สุดของ Trivium — หรือแฟน ๆ Trivium จะปฎิเสธ

6. Atreyu – The Curse
เมื่อ Bon Jovi กลายมาเป็นเมทัลคอร์

7. Darkest Hour – Undoing Ruin
วงอเมริกันที่ควรจะไปอยู่โกเธนเบิร์ก

8. All That Remains – The Fall of Ideals
อัลบั้มที่เล่นได้สวยงามสุด ๆ

9. Still Remains – Of Love and Lunacy
พวกวงอิเล็คทรอนิคโพสต์ฮาร์ดคอร์เป็นหนี้บุญคุณพวกเขา

10. God Forbid – Gone Forever
อัลบั้มมากล้นด้วยคุณภาพที่หลายคนมองข้าม

*หมายเหตุ: ผลงานเหล่าคัดมาจากทัศนคติส่วนตัวเท่านั้น