28 สิงหาคม 2001 คือวันที่ทั่วโลกได้สัมผัสอัลบั้มชุดที่ 2 จากวง Slipknot หลังจากที่ประสบความสำเร็จจากอัลบั้มเปิดตัวอย่างถ่วนท้น จนดึงดูดให้เหล่าผู้เสพเพลงหนักกระโหลกต้องสาบานตนเข้าเป็นสาวก “Maggots” และเกิดกระแสฟีเวอร์ไปทั่วโลกไม่เว้นแม่แต่ในบ้านเราที่ช่วงนั้นมีทั้งโปสเตอร์และเสื้อปลอมที่เป็นรูปโลโก้หรือสมาชิกวงออกมาขายกันเกลื่อนแบบหน้าด้าน ๆ
Here We Go Again, Mother Fucker!!!!
ความสำเร็จที่พวกเขาได้สร้างไว้มันเปรียบเสมือนแรงกดดันที่จะต้องรักษาระดับให้คงที่หรือต้องไต่ขึ้นไปให้สูงกว่าเดิมเท่านั้น มิเช่นนั้น Slipknot จะถูกตีตราว่าเป็นวงที่ ‘ล้มเหลว’ หรือเป็นพวกวง ‘One Hit Wonder’ ก็เป็นไปได้ ทางออกเพลย์เซฟของวงดนตรีอื่น ๆ คงจะทำเพลงออกมาคล้าย ๆ อัลบั้มแรก หรือไม่ก็ปรับเพลงให้เบาให้ป๊อปขึ้นเพื่อขยายฐานตลาดสู่โลกของเมนสตรีม แต่วง Slipknot กลับทำสิ่งตรงกันข้าม สิ่งที่เราได้ยินจากอัลบั้ม ‘Iowa’ มันคือ พลังทำลายล้าง, ความหนักหน่วงแบบไร้ความปราณี, ความโกรธแค้นที่ปะทุทุก ๆ วินาที และความบ้าคลั่งที่ไม่มีใครหยุดยั้งได้ ดนตรีทั้งหมดถูกผสมผสานทั้ง นู เมทัล, เดธ เมทัล, แธรช เมทัล จนตกผลึกออกมาเป็นดนตรีเอกซ์ตรีม เมทัล สุดระห่ำ แค่เพลงเปิดอัลบั้ม “People=Shit” ก็ทำให้ทุกคนคลุ้มคลั่งแล้ว!
นับเป็นโจทย์ที่โคตรท้าทายกับการนำเสนอแนวทางที่สวนกระแสกับทางค่ายเพลงที่มุ้งเน้นผลกำไร ทาง Monte Conner ซึ่งดำรงตำแหน่ง A&R ของค่าย Roadrunner Records ณ เวลานั้นยังยอมรับว่าทำอะไรไม่ถูกหลังจากได้ยินเพลงในอัลบั้ม ‘Iowa’
“ทุก ๆ คนคิดว่าพวกเขาจะทำอัลบั้มที่เบาลงและหันไปหาโลกของเมนสตรีม”
“แต่พวกเขากลับหนัหลังให้เมนสตรีม และทำอัลบั้มที่หนักหน่วงกว่าเดิม ตอนผมได้ฟังครั้งแรกผมชอบมันมากเลยนะ แต่ในฐานะคนทำค่าย ผมก็คิดว่าผมจะทำอย่างไรกับมันดีวะเนี่ย” (น่าจะหมายถึงการโปรโมตเพื่อให้ทำยอดขายเป็นไปตามเป้า)
If You’re 55, Then I’m 666!!!
ในส่วนของทาง Corey Taylor นักร้องนำของวงได้เผยแนวคิด ณ เวลานั้น
“ถ้าเราจะสร้างอะไรขึ้นมาซักอย่าง เราก็จะทำมันในแนวทางของเรา ซึ่งมันตรงกันข้ามกับกระแสนิยม”
“พวกเราไม่สามารถสร้างเงินได้มากมายจากการทำอะไรแบบนี้หรอก เมื่อคุณมีวงดนตรีขนาดใหญ่มันย่อมไม่เหมือนวงดนตรีที่เล่นกันแค่ 3 ชิ้นที่แค่เขียนเพลงป๊อปดี ๆ ซักเพลง และหลังจากพวกเขาก็จะกลายเป็นเศรษฐีโดยอัตโนมัติ วงของพวกเรามันมีปัจจัยอะไรอีกหลาย ๆ อย่างที่ทำให้หารายได้ไม่เพียงพอ แต่มันก็ชัดเจนแล้วว่าตอนนี้พวกเราทำได้แล้ว แต่มันจะไม่สามารถทำได้ใกล้เคียงเลยถ้าวงมีสมาชิกเพียงครึ่งเดียวจากเต็มวง”
เท่านั้นไม่พอการทำงานของ Corey Taylor ในอัลบั้มนี้เจ้าตัวยังอยู่ในอารมรณ์ที่หม่นสุดขีดจนถึงขนาดใช้เศษแก้วทำร้ายร่างกายตัวเอง!!!
“มันเป็นช่วงเวลาที่วุ่นวาย”
“ผมดื่มหนักมาในตอนนั้น ผมอยู่ในช่วงที่มีความสัมพันธ์ไม่ค่อยดีและผมก็ไม่อยากให้ใครมาเห็นใจผมหรอกนะ”
“มันมีเลือดของผมอยู่ทุก ๆ ที่” (หมายถึงในห้องอัด)
“ผมแค่ต้องการทำอะไรบางอย่างและไม่สนใจด้วยว่าทำมันไปทำไม ผมมีแต่อารมณ์โกรธ โกรธ และโกรธ ผมไม่ยอมปล่อยวางอะไรเลย มันต่างจากตอนที่ผมทำอัลบั้มแรก ตอนนั้นผมทำด้วยความสบายใจและรู้สึกดีกับมัน สิ่งที่มันเกิดขึ้นมันแย่มากและมันทำให้ผมไม่มีความสุขเลย”
Noises, noises, people make noises!!!
เหตุการณ์ความตึงเครียดได้ถูกยืนยันจาก Shawn Crahan ที่ยอมรับตอนนั้นสมาชิกวงอยู่ในช่วงที่ความสัมพันธ์ไม่ค่อยดี
“ตอนที่พวกเราทำอัลบั้ม Iowa พวกเราเกลียดขี้หน้ากัน พวกเราเกลียดโลกใบนี้ และโลกใบนี้ก็เกลียดพวกเรา”
อุปสรรคยังไม่จบเพียงเท่านี้ เพราะหลังจากที่อัลบั้ม ‘Iowa’ วางแผง 1 สัปดาห์นิด ๆ ก็เกิดเหตุการณ์ 9/11 ขึ้น ส่งผลให้อะไรหลาย ๆ อย่างต้องหยุดชะงักลงไป
อย่างไรก็ตามเมื่อเวลาผ่านพ้นไปผลงานสุดหนักหน่วงของ Slipknot ก็ได้เฉิดฉายและตอกหน้าคนที่ดูถูกดูแคลนว่าอัลบั้มเพลงหนักแบบนี้ไม่มีทางจะประสบความสำเร็จบนโลกดนตรีเมนสตรีมได้ เพราะ ‘Iowa’ ได้ขึ้นถึงชาร์ตอันดับ 1 ของประเทศอังกฤษและแคนาดา ส่วนในอเมริกาในชาร์ตบิลบอร์ดพวกเขาก็ขึ้นไปสูงถึงอันดับ 3 และทำยอดขาเยฉพาะในประเทศได้มากถึง 1,000,000 ก็อปปี้ มันเป็นเรื่องที่โคตรเหลือเชื่อมาก ๆ
We let it all slip away!!!
ความสำเร็จนอกจากตัววง, ค่ายเพลง คงต้องยกเครดิตให้กับ Ross Robinson โปรดิวซ์เซอร์มือฉมังที่ร่วมงานกับวงมาตั้งแต่อัลบั้มแรก ซึ่งในตอนทำอัลบั้มนี้ทาง Ross ได้ประสบอุบัติเหตุการกีฬามอเตอร์ครอสทำให้หลังหักและต้องใช้วีลแชร์ตลอดเวลาของการทำงาน
ทาง Ross Robinson ได้พูดถึง 3 สมาชิกหลักของ Slipknot ในตอนนั้นไว้ด้วย
พูดถึง Corey Taylor
“เขากำลังมีความรัก และกำลังจะเข้าสู่พิธีหมั้น, เขาตกหลุมรักและได้พบชีวิตที่ยอดเยี่ยมร่วมกับวง Corey เคยเป็นคนที่ต้องทนทุกข์ทรมานในวัยเด็กเพราะไม่ได้อยู่กับพ่อ เขามอบอะไรให้มากมายก็ผู้ฟังครับ”
พูดถึง Joey Jordison
“Joey คืออัจฉริยะโดยแท้จริงในทุก ๆ ด้านเลย เป็นหนึ่งในคนที่ฉลาดที่สุดเท่าที่ผมเคยเจอมาด้วยครับ เขากับ Paul Gray เขียนทุกอย่างเกือบทั้งหมดเกี่ยวกับดนตรีในอัลบั้ม ผมรู้สึกเคารพเขาอย่างยิ่งเลยครับ”
พูดถึง Shawn Crahan
“Shawn ใช้ชีวิต, ลมหายใจให้กับการเสพเรื่องบ้า ๆ บอ ๆ เขาแบกรับความทุกข์เอาไว้มากมาย เขารู้สึกเหมือนกับว่าเขาต้องเป็นคนที่ดูแลโลกเพราะเขาไม่สามารถดูแลตัวเองได้ แต่เขาก็เรียนรู้ที่จะปล่อยวางนะ ถึงแม้บางครั้งมันต้องใช้เวลาเพราะบางเรื่องมันเป็นปัญหาที่ใหญ่มากเลยทีเดียว เขาดูเหมือนจะชอบอยู่ในโลกส่วนตัว แต่หัวใจของเขาบริสุทธิ์และสวยงามครับ”
ความสำเร็จยังต่อยอดสู่บันทึกการแสดงสด “Disasterpieces” ปี 2002 ณ กรุงลอนดอน ประเทศอังกฤษ ที่ได้ถูกจารึกให้เป็นอีกหนึ่งโชว์ที่สุดยอดของ Slipknot และยังเป็นโชว์ที่ Joey Jordison ขโมยซีนด้วยการโซโล่กลองบนไฮโดรลิกที่ทำให้เขาสามารถตีลังกาหวดกลองได้แบบโคตรเท่
สำหรับผลงานในอัลบั้มนี้ประกอบไปด้วย
1.(515)
2.People = Shit
3.Disasterpiece
4.My Plague (ประกอบภาพยนตร์ Resident Evil)
5.Everything Ends
6.The Heretic Anthem
7.Gently
8.Left Behind
9.The Shape
10.I Am Hated
11.Skin Ticket
12.New Abortion
13.Metalbolic
14.Iowa
เราคงไม่มีโอกาสได้ฟังอะไรที่มันทำลายล้างได้สุดขั้วจากผลงานของ Slipknot อีกแล้ว นี่คือหนึ่งในผลงานมาสเตอร์พีซที่โลกต้องจดจำ สุขสันต์วันเกิด 20 ปี “IOWA”
ที่มาของข้อมูล : loudersound / revolvermag และ loudwire


Owner, Co-Founder and Writer of Headbangkok
Vocalist : Tragedy of Murder