เรื่องราวของการถกเถียงโต้แย้งกันในแวดวงดนตรีระหว่างผู้ใหญ่และเด็กไม่ใช่เรื่องใหม่แต่อย่างใด มันเคยเกิดขึ้นมาแล้วทุกยุคทุกสมัย จวบจนปัจจุบัน ก็ยังคงมีการพูดถึงเรื่องนี้อยู่บ่อยครั้งจากพ่อแม่ผู้ปกครองที่ได้ยินเพลงที่เราฟัง ไม่ว่าจะพังค์ร็อค เมทัล ฮาร์ดคอร์ สุดท้ายแล้วพวกผู้ใหญ่ก็ยังคงมีคำถามเกิดขึ้นกับเราอยู่เสมอเกี่ยวกับแนวดนตรี วัฒนธรรม หรือภาพลักษณ์ต่าง ๆ ที่เกิดขึ้น

altpress.com จึงได้ทำการรวบรวมคำถามต่าง ๆ มาเขียน พร้อมทั้งแนวทางการไขข้อข้องใจ หรือการอธิบายวิธีคิดต่อคำถามเหล่านั้น ให้ท่านผู้อ่านได้ลองอ่านและเผื่อจะเป็นไอเดียที่ใครอยากจะนำไปประยุกต์ใช้อธิบายกับผู้ใหญ่ใกล้ตัวท่านบ้าง ก็ลองดูได้ครับ ท่านผู้อ่านสามารถตามไปอ่านต้นฉบับได้ที่ 11 things parents just don’t understand about your music (and how to explain them)

คำถามโดย Brittany Moseley
คำตอบโดย Cassie Whitt

1. ทำไมพวกเขาต้องแต่งหน้าด้วยล่ะลูกจ๋า ดูพวกเขาก็เป็นหนุ่มฟ้อหล่อเฟี้ยวดีอยู่แล้ว ทำไมต้องเอาอะไรมาโบกหน้าตัวเองด้วย หรือเขาเป็นสิว หรือเป็นโรคผิวหนังอะไรหรือเปล่า?
ครั้งหนึ่ง ซอนนี่ มัวร์ (Skrillex, ex-From First to Last) เคยร้องไว้ว่า “I refuse to meet the world without smearing on makeup/With my hair blinding my eyes.” จากเพลง Waltz Moore ของ From First to Last ซึ่งเจ้าตัวได้ยอมรับว่า ที่ต้องแต่งหน้าก็เพราะว่าขาดความมั่นใจในตัวเอง ทำเพื่อสร้างความมั่นใจก็เท่านั้นล่ะฮะ และมันก็ดูผิดธรรมชาติไปหน่อย แต่ในคนจำนวนมากก็มีคนที่ชอบแต่งหน้าด้วยจุดประสงค์ที่เกี่ยวเนื่องกับภาพลักษณ์ของตัวเองและภาพลักษณ์ของดนตรีที่พวกเขาทำขึ้นมา

หรือถ้าว่ากันจริง ๆ แล้ว อย่างนักแสดงคนอื่น ๆ เขาก็แต่งหน้ากันทั้งนั้นเมื่อต้องขึ้นโชว์บนเวที เพื่อสู้กับแสงไฟสปอร์ตไลท์ที่จะส่องเข้าหน้าตัวเองตลอดเวลานั่นเองฮะแม่

2. ทำไมฟังเพลงอะไรดังขนาดนั้นล่ะลูกจ๋า ถ้ายังเป็นแบบนี้ต่อไป ตอนอายุ 30 หูเธอดับแน่ ๆ แล้วจะหาว่าแม่ไม่เตือนนะคะลูก!
อธิบายแม่คุณไปว่า : การเสียบปลั๊กเล่นดนตรีนี้มันเป็นนวัตกรรมใหม่ของงานศิลปะที่บ๊อบดีแลนริเริ่มมาตั้งแต่ยุค 60 เลยนะฮะคุณแม่! ผมก็แค่ซาบซึ้งและกำลังดื่มด่ำกับพัฒนาการของเทคโนโลยีที่ทำให้ผมสามารถฟังเพลงดัง ๆ แบบนี้ได้ ก็เท่านั้นเองฮะแม่

3. แล้วเขาจะแหกปากกรีดร้องกันทำไมล่ะลูกจ๋า เขาโกรธใครมาเหรอลูก มันจะมีประโยชน์อะไรถ้าเราฟังเพลงที่คนร้องออกมาไม่รู้เรื่อง!
กรณีนี้วิธีหนึ่งก็คือ ให้คุณเอาปกแผ่นพับซีดีที่มีเนื้อร้องเขียนไว้ ส่งให้พ่อหรือแม่ของคุณดูด้วยความสุภาพ แล้วรอดูว่าพวกเขาจะว่าอย่างไร (ในกรณีที่เนื้อหาเพลงนั้น ๆ พอจะให้ผู้ปกครองดูได้น่ะนะ)
แต่มันก็ยังมีทางอื่นอีก เช่น อธิบายถึงหลักการเปล่งเสียงร้องเพลงแบบเชิงวิชาการไปซะเลย! ไม่ว่าจะการคำราม สำรอก จะกรีดร้องสูงหรือกดต่ำ เสียงหมูเสียงกบ มันเป็นความสามารถที่ได้จากการฝึกฝนจริง ๆ การพัฒนาเสียงร้องได้โดยที่ไม่ทำให้เส้นเสียงมีปัญหานั่นคือทักษะพิเศษอย่างหนึ่ง นักร้องที่ร้องเหมือนเสียงปีศาจพวกนั้น เขาไม่ได้เป็นมาแต่เกิด พวกเขาฝึกฝนด้วยตัวเองเพื่อร้องให้ได้แบบนั้นต่างหาก

แม่ว่ามันเจ๋งไหมล่ะ ถ้าร่างกายคนเราจะทำอะไรอย่างนั้นได้อ่ะ อย่างเมพ!

หรือจะหาคลิปวีดีโอที่นักร้องคนนั้น ๆ ทำกิจกรรมอื่น ๆ นอกเหนือจากการร้องเพลงโหด ๆ ให้แม่ดู ให้เขาเห็นว่านักร้องเสียงปีศาจคนนั้นก็ทำเรื่องดี ๆ ในชีวิตปกติเหมือนกัน ซึ่งมันจะช่วยให้ผู้ปกครองเรารู้ว่า นักร้องคนนั้นก็เป็นมนุษย์ปกติเนี่ยล่ะ!

4. คอนเสิร์ตอย่าง Warped Tour คืออะไร มีมั่วสุมเล่นยา ดื่มเหล้า หรือการมั่วเซ็กส์หรือเปล่า โธ่! อย่าคิดว่าแม่ไม่รู้นะ สมัยสาว ๆ แม่รู้ทุกอย่างแหละ มันก็ไม่ต่างอะไรกับตอนงาน Woodstock หรอก!
เราอาจอธิบายกับผู้ปกครองของเราไปว่า คอนเสิร์ตสมัยนี้มันเปลี่ยนไปแล้ว งานดนตรีงานหนึ่งมักจะมีหลายเวที มีร้านขายของมาตั้งแข่งกันเยอะแยะเต็มไปหมด เวลาทั้งวันแทบจะหมดไปกับการวิ่งย้ายเวทีไปเรื่อย ๆ เพื่อรอดูวงที่เราชอบ ซึ่งมันไม่มีเวลาไปทำอะไรบัดสีบัดเถลิงแบบนั้นหรอกฮะคุณแม่ แต่พวกที่ชอบเมาเหล้าเสพยามั่วเซ็กส์ตามงานแบบนี้มันก็คงจะมี และมีอยู่แทบทุกที่นั่นแหละไม่เฉพาะตามงานคอนเสิร์ต และถ้ามันเกิดขึ้นในงานจริง ๆ ทางฝ่ายพี่ ๆ ซีเคียวริตี้ที่ดูแลความปลอดภัยทั้งทางผู้จัดคอนเสิร์ตหรือทางเจ้าของสถานที่ก็คงจะมีมาตรการจัดการไปตามระเบียบ ซึ่งหมดห่วงได้เลยฮะแม่

และยกตัวอย่างงาน Warped Tourที่มักจะมีองค์กรการกุศลต่าง ๆ มาเปิดบู๊ทรับบริจาคเงินเพื่อช่วยเหลือสังคมในมากมายหลายด้าน ทั้งช่วยเด็ก ช่วยเรื่องมะเร้งเต้านม และอื่น ๆ อีกมากมาย หรือในวาระพิเศษอย่างช่วงวันพ่อ พ่อทุกคนที่ไปที่งานจะสามารถเข้าได้ฟรี ๆ แถมทางคอนเสิร์ตยังจัดที่พักเปิดแอร์เย็นฉ่ำ เครื่องดื่มเย็น ๆ และหนังมากมายหลายเรื่อง ให้บรรดาคุณพ่อทั้งหลายได้ผ่อนคลายในระหว่างที่รอลูก ๆ วิ่งตากแดดอยู่หน้าเวที แหม่… ชิวกันเลยทีเดียว

5. เคลลิน, ออสติน, แรดเค่ คนพวกนี้เป็นใครกันคะคุณลูกขา แม่นั่งฟังลูกพร่ำเพ้อชื่อพวกนี้มาทั้งวันและเนี่ย!
สำหรับคำถามนี้ คุณอาจต้องเลือกที่จะอธิบายประวัติของศิลปินแต่ละคนอย่างระมัดระวัง ถ้าพ่อแม่คุณจริงจังกับเรื่องเพลงที่คุณฟังมาก ๆ ก็อย่าเล่าเรื่องของ รอนนี่แรดเค่ เยอะนัก อาจบอกไปว่า

“เขาเป็นคุณพ่อที่มีลูกสาวหนึ่งคน น่ารักเนาะ อิอิ…”

6. ทำไมลูกถึงไม่หาเพลงที่มันเพราะ ๆ ฟังล่ะลูกจ๋า แม่ไม่เข้าใจเลยทำไมถึงชอบกันนัก “เพลงนอกกระแส” พวกนั้นน่ะ รู้จักบ้างไหมลูก ศิลปินที่ร้องเพลงเพราะ ๆ อ่ะ อย่าง บรูโน่มาส์ ไง ใคร ๆ ก็ชอบบรูโน่มาส์ เขาดูดีมากเลยนะ

“Stand up / You have a voice to be heard / You’re worth more than words / So let your fire burn.”

“แม่ไม่คิดว่าเนื้อเพลงท่อนนี้ของ WE CAME AS ROMANS มันเจ๋งบ้างเหรอฮะ ผมว่ามันเป็นท่อนที่เจ๋งมากเลยนะไม่เชื่อแม่ลองไปถามคนอื่น ๆ ดูได้ แม้ว่าเขาจะร้องสำรอกโหดไปหน่อยในช่วงเบรคดาวน์ แต่มันก็สุดยอดนะฮะคุณแม่!”

7. เดี๋ยวนี้วงพวกนั้นยังมีทำแผ่นไวนิลขายอยู่อีกเหรอจ๊ะลูก
“ใช่ฮะ พวกเขายังทำแผ่นไวนิลกันอยู่ แม่ยังมีเครื่องเล่นอยู่ใช่ไหม แม่มีแผ่นสะสมของแม่ ผมมีแผ่นสะสมของผม… ก็พอแล่ววว”

รีบฉวยเวลานี้ไว้ เวลาที่เราและผู้ปกครองจะได้มีการแบ่งปันประสบการณ์ทางดนตรีร่วมกัน แม้ว่าพ่อแม่ของคุณจะยังไม่เข้าใจดนตรีหรือไลฟ์สไตล์ในแบบชาวร็อคยุคเราสักเท่าไร แต่ที่สุดแล้ว พ่อแม่ทุกคนก็อยากมีส่วนร่วมกับทุก ๆ กิจกรรมของลูกนั่นแหละ เอาแผ่นมาแลกเปลี่ยนกันดู และให้ทน ๆ ฟังพวกเขาเล่าประวัติความเป็นมาของ บีทเทิลส์ หน่อย เพื่อทำให้เขารู้สึกว่า เรากับเขามีประสบการณ์ทางดนตรีที่คล้าย ๆ กัน

8. แล้วทำไมถึงชอบไปวิ่งอัดกระแทกกันกับคนอื่น ๆ ในคอนเสิร์ตล่ะลูกเอ้ย ไม่กลัวกระดูกกระเดี้ยวจะแตกจะหักบ้างเหรอลูก แล้วถ้าเข้าโรงพยาบาลก็ไม่ต้องมาโทรหาเลยนะ แม่จะฟาดซ้ำ!
ถ้าแม่คุณบอกว่าอย่าโทรเรียกเขาตอนเราเข้าโรงพยาบาล แม่กำลังประชดเรา ถ้างานหน้ามีใครสักคนกระโดดเตะคุณจนต้องเข้าห้องฉุกเฉินแล้วล่ะก็ โทรหาเขาเถอะ

แล้วก็อธิบายให้แม่คุณฟังว่า ความรุนแรงต่าง ๆ ที่หลายคนเห็นนั้น จริง ๆ มันก็แค่การแสดงออกอย่างนึงในวงการเพลงร็อค มันก็คือการเต้นนี่ล่ะ คนที่เล่นเป็นทุกคนจะรู้มารยาทกันดี ถ้ามีคนล้ม คนอื่น ๆ ก็จะช่วยกันพยุงให้ลุกขึ้นมา แต่ถ้าเกิดมีใครสักคนจงใจเข้ามาเกรียนใส่จริง ๆ ล่ะก็ บอกพี่ ๆ ซีเคียวริตี้ แล้วเขาจะเข้ามาจัดการให้เอง ใครที่เจตนาจะเข้ามาทำร้ายคนอื่น มันไม่สมควรอยู่ในงานอยู่แล้ว พวกเราทุกคนก็ช่วยกันระวังตัวเองอยู่แล้วล่ะฮะคุณแม่

9. อีโม แปลว่าอะไร
อธิบายกับพ่อแม่ของเราให้เข้าใจว่ามันก็แค่คำที่มีคนใช้คุยโต้เถียงกันในเรื่องของแนวเพลงบางแนวล่ะฮะ ซึ่งจริง ๆ ก็ไม่ได้มีความหมายสำคัญอะไรขนาดนั้น และเสริมกับพ่อแม่คุณด้วยว่าอย่าไปเชื่อพวกข่าวกาก ๆ ที่คนเขียนสักแต่ว่าเขียนขึ้นมา โยงเอาคำว่าอีโมไปเกี่ยวข้องกับแง่ลบในวงการดนตรีมั่วซั่ว อย่างกระแสการฆ่าตัวตายในหมู่วัยรุ่น พวกนั้นมันเป็นพวกผิดปกติทางจิต อย่าเอาคำนี้ไปรวมกันเลยฮะมันไม่เกี่ยว

10. เพลงพวกนี้มันเพลงของปีศาจหรือเปล่าคะลูก แม่เคยเห็นอย่างอีตา MARILYN MANSON ทำเหมือนจะบูชาปีศาจอะไรทำนองนั้นน่ะ
โอเค เราอาจต้องทำความเข้าใจกันใหม่เกี่ยวกับคนที่ไม่นับถือศาสนา ที่คุณต้องทำก็คือการอธิบายให้ความรู้ว่าจริง ๆ แล้วลัทธิบูชาซาตานนั้นเป็นอย่างไร และเพลงเหล่านั้นมันก็ไม่ได้ใช้ในพิธีกรรมบูชายัญด้วย แต่ในคนที่นับถือศาสนาทั่วไป มักจะมีเหตุผลในการต่อต้านบางสิ่งบางอย่างทั้ง ๆ ที่ตัวเองก็ยังไม่รู้อะไรมากนัก ฉะนั้นแล้ว หากพ่อแม่ผู้ปกครองเกิดสงสัยในเรื่องราวพวกนี้ ก็ให้อธิบายบอกพวกเขาไปดี ๆ ว่าอะไรเป็นอะไร จุดประสงค์ที่วงต้องการจะสื่อในเพลงคืออะไร แล้วเราได้อะไรจากมันบ้าง และไม่ว่ามันจะเกี่ยวข้องกับศาสนาหรือไม่ ขอให้คุณจำไว้ว่า พ่อแม่นั้นหวังจะให้เราได้พบแต่สิ่งดี ๆ แง่คิดดี ๆ ที่จะส่งผลต่อการใช้ชีวิตของเราก็เท่านั้นเอง

11. แม่ไม่เข้าใจเลยว่าทำไมถึงต้องสักกันขึ้นไปถึงคอด้วยคะลูก จะเป็นยังไงถ้านักดนตรีพวกนั้นเกิดสำนึกได้ว่าเส้นทางดนตรี ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีนักในชีวิต และจำเป็นต้องไปหางานอื่น ๆ ทำ? โอเคแม่จะบอกให้ก็ได้นะ ว่าสิ่งที่จะเกิดขึ้นก็คือ พวกเขาจะต้องไปทำงานตามร้านฟาสท์ฟู้ดแล้วคอยถามลูกค้าว่า “จะรับเฟรนช์ฟรายด์เพิ่มด้วยไหมครับ” ยังไงล่ะ!
โธ่… คุณแม่ นี่มันปี 2014 แล้วนะฮะ

แม้ว่าบรรดาพ่อแม่จะยังคงมีอคติต่อคนที่มีรอยสัก แต่หลาย ๆ คนก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น จริงอยู่ ที่สถานที่ทำงานหลาย ๆ แห่งยังคงยึดถือเรื่องบุคลิกภาพเป็นสำคัญ แต่ท้ายสุดแล้วคืออย่างไรล่ะ การสักนี่มันเป็นการตัดสินใจของแต่ละคนที่ไม่ได้มีผลกระทบใด ๆ ต่อใครเลยนอกจากผู้ที่สักเอง และพวกเขาก็คิดว่ามันเป็นความคิดริเริ่มสร้างสรรค์ได้เหมือนกัน การสักนี่อาจจะพอบอกได้ว่าคุณนั้นเป็นนักดนตรีที่เจ๋งแค่ไหนในขณะที่คุณก็ทำเพลงของคุณไปเรื่อย ๆ มันอาจดูไม่ใช่ “หน้าที่การงานที่ดูดี” ในสายตาของใครหลาย ๆ คน แต่มันก็คือสิ่งที่พวกเขาพยายามจะไขว่คว้ามาด้วยตัวเอง ก็แล้วแต่พวกเขาเถอะ มันอาจดูไม่เหมือนกับที่คุณต้องออกไปทำอะไรที่มันซ้ำ ๆ เดิม ๆ ในวันต่อ ๆ ไป ใช่ไหมล่ะ? ฉะนั้นก็ช่างเถอะ ที่เหลือก็แค่หาเสื้อคอเต่าที่ปิดมิดชิดมาใส่ในวันรวมญาติ ก็เท่านั้นเอง